การเปิดบ้านแถลงความจริง ของ คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธุ์ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ คดียกเลิกการประกวดราคาซื้อและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธาณสุขโดยมิชอบ หรือที่เรียกกันว่า "คดีคอมพิวเตอร์ฉาว" ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี2547 และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะลงมติชี้มูลความผิด

เป็นสิ่งที่สะท้อน ได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คาใจคุณหญิงสุดารัตน์อย่างมากจริงๆ ถึงได้เดินหน้าลุยแถลงความจริงก่อนหน้าที่ ป.ป.ช.จะชี้มูลแบบนี้

โดย คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่าได้ทำการเมืองมา 20 ปี อยู่มาหลายกระทรวง ไม่เคยมีเรื่องการทุจริตหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ซึ่งการยกเลิกโครงการคอมพิวเตอร์ฉาว ก็เนื่องมาจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เห็นว่าบริษัทที่เข้าร่วมประมูลเสนอสินค้าที่มีคุณสมบัติต่ำกว่าที่ทีโออาร์กำหนดทั้งเรื่องหน่วยความจำความเร็ว และระบบไฟสำรองของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการจัดซื้อ

จึงสามารถยกเลิกโครงการได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

ที่สำคัญเมื่อยกเลิกโครงการก็คืนงบประมาณทั้งหมด 900 ล้านบาทให้กระทรวงการคลัง โดยไม่มีการจัดซื้อแม้แต่เครื่องเดียว ไม่ได้ทำให้ราชการเสียหายแต่อย่างใดแต่กลับปรากฏว่า หลังการยึดอำนาจโดยการทำรัฐประหาร เมื่อ19 ก.ย. 2549  กลับถูกกล่าวหาจากผู้มีอำนาจในขณะนั้นว่า ยกเลิกการจัดซื้อโครงการดังกล่าวโดยมิชอบ มีการยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ

ระหว่างนั้นก็มีบริษัทเอกชนไปยื่นฟ้องคุณหญิงสุดารัตน์ต่อศาลปกครองว่า ยกเลิกโครงการโดยมิชอบ ในที่สุดศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อปี2553 ว่า

การยกเลิกการประกวดราคาเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของทางราชการ!!!

แต่ป.ป.ช.กลับยังพิจารณาคดีต่อไป ซึ่งในระหว่างสู้คดีกับป.ป.ช. มีกลุ่มบุคคล 3 คน ไปเป็นพยานเท็จ ให้การกับป.ป.ช. หนึ่งในนั้นเป็นอดีตข้าราชการระดับสูง ทำให้กลุ่มข้าราชการที่ตกเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ร่วมกับคุณหญิงสุดารัตน์ไปยื่นเรื่องฟ้องศาลอาญาดำเนินคดีกับพยานเท็จกลุ่มนี้

ล่าสุดเมื่อวันที่1 พ.ค. 56 ศาลมีคำตัดสินให้จำคุก

อดีตข้าราชการระดับสูงคนนี้ข้อหาให้การเท็จเป็น

เวลา 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

เป็นการออกมาให้ข้อมูล ที่แน่นอนว่าบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวครั้งนี้จะ

ต้องสะเทือนไปด้วยไม่น้อยเลย

และที่สำคัญก็คือ เป็นอีกหนึ่งความจริงที่พิสูจน์ให้เห็นว่า มีขบวนการ หรือกลุ่ม

บุคคลที่เกี่ยวโยงกับการทำรัฐประหาร 19 กันยาฯ ต้องการที่จะเล่นงานพรรคไทยรักไทย อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และคนรอบข้างที่ใกล้ชิด

เป็นการมุ่งเล่นงานทางการเมืองหรือไม่ เชื่อว่ามีกลุ่มคนที่ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ

เพราะต้องยอมรับว่าในทางการเมืองขณะนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ถือเป็นขุนพลสำคัญคนหนึ่งของพรรคไทยรักไทย หากจะอยู่ในข่ายที่ต้องถูกเล่นงานก็ย่อมมีความเป็นไปได้สูง

คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่าข้อกล่าวหาที่ป.ป.ช.ระบุว่าเป็นผู้ออกคำสั่งให้ข้าราชการยกเลิกการประมูลโครงการโดยมิชอบนั้น ไม่เป็นความจริง โดยยืนยันว่า ไม่ได้สั่งการใดๆ เนื่องจากขณะนั้นเรื่องยังมาไม่ถึงตนเองด้วยซ้ำ

อีกทั้งช่วงที่มีการยกเลิกโครงการ คุณหญิงสุดารัตน์ก็ได้ย้ายไปอยู่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว

ซึ่งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องทุกคนก็ยืนยันตรงกันว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่ได้เป็นคนสั่งการ

ทำให้คุณหญิงสุดารัตน์ประกาศด้วยความเชื่อมั่นในวันเปิดใจว่า มั่นใจว่าตลอดเวลา 7 ปีที่ต่อสู้คดีมา ไม่ได้ทำผิดที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ ประเด็นเรื่องที่มีข้อมูลว่าระหว่างที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อคอมพิวเตอร์กระทรวงสาธารณสุขนั้น มีรัฐมนตรีขณะนั้นคนหนึ่ง พยายามบีบบังคับเรียกข้าราชการเหล่านี้ไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ปรักปรำนักการเมืองว่าเป็นผู้สั่งการยกเลิกโครงการ แต่ข้าราชการกลุ่มนี้ไม่ทำตาม และยังอัดเทปบันทึกเสียงรัฐมนตรีผู้นี้ไว้ด้วย

การที่คุณหญิงสุดารัตน์ออกมาปูดข้อมูลนี้ถือได้ว่าเป็นการแลกหมัดแบบไม่มีอะไรจะต้องปิดบังกันแล้ว เพราะได้ส่งหลักฐานชิ้นดังกล่าวไปให้กับทาง คณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้เพื่อประกอบการพิจารณาแล้วด้วย

"อยากขอความเป็นธรรมจากกรรมการป.ป.ช.ที่เหลือ คดีนี้เหมือนตราบาปของดิฉัน ที่ผ่านมาเสียความรู้สึกเรื่องนี้มา7 ปี แม้ป.ป.ช.จะตัดสินคดีออกมาอย่างไร ก็คงไม่ทันต่อสิ่งที่สังคมได้รับรู้ไป แต่ก็อยากขอความเป็นธรรมจากป.ป.ช.ให้พิจารณาโดยยึดหลักกฎหมาย ประโยชน์ของราชการ หาก ป.ป.ช.ตัดสินว่ามีความผิดก็จะเกิดบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา เพราะต่อไปนี้บริษัทถูกยกเลิกเพราะเสนอคุณสมบัติต่ำกว่าทีโออาร์ สามารถยื่นฟ้องราชการได้หลังจบคดีนี้จะเขียนหนังสือถึงเบื้องหลังคดีร่วมกับหมอในคดีนี้อีก 20 คนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันเพื่อสะท้อนถึงกระบวนการยุติธรรม"คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

งานนี้ถือเป็นการบ้านที่สำคัญของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วว่า ยังคงเป็นองค์กรอิสระที่มีความเป็นอิสระ มีศักดิ์ศรี และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างที่ทุกคนคาดหวังหรือไม่

ที่สำคัญกรณีนี้จะเป็นบรรทัดฐานในอนาคตสำหรับบริษัทที่จะยื่นประมูลงานโดยเนื้องานมีคุณภาพต่ำกว่า TOR แล้วมาฟ้องร้องรัฐบาล ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่??? หากทำได้ ต่อไปคงสนุกพิลึก

จากนี้ก็หวังแต่ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะไม่ได้มีความหนักใจแต่อย่างใด ใครผิดก็ผิด ใครไม่ผิดก็ไม่ผิด อย่างที่นายกล้านรงค์ จันทิก หนึ่งใน ป.ป.ช.กล่าวเอาไว้ก็แล้วกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ วันที่ 25 - 26 มิ.ย. 2556--