นับเป็นอีกข่าวที่สร้างความตกใจไม่ใช่น้อยเมื่อสำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าว หลังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ออกมาเตือน พบเชื้อ "โกโนเรีย" สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดการดื้อยา ซึ่งอาจร้ายแรงกว่าเชื้อไวรัสเอดส์ หลังจากมันพัฒนากลายเป็นเชื้อโรคร้ายแรงที่มีอันตรายสูง และมีศักยภาพที่จะทำให้มีผู้เสียชีวิตได้รวดเร็วยิ่งกว่าเอดส์
งานนี้..ทำเอาหลายคนกังวลว่า มีเชื้อร้ายแรงกว่าเอดส์อีกจริงหรือ...และเชื้อโกโนเรีย คืออะไร
"เชื้อโกโนเรีย" คือ หนองในแท้ (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาหายขาดได้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae สามารถเกิดได้ ทั้งที่อวัยวะสืบพันธุ์ มดลูก ปากมดลูก ช่องท้อง ในช่องปาก ทวารหนัก สำหรับผู้หญิงบางคนรับเชื้อมาแล้วไม่มีอาการหรือมีตกขาวเล็กน้อย ไปซื้อยากินเองอาการสงบลงทำให้เข้าใจว่าไม่เป็น จะมาทราบอีกครั้งก็เมื่อ มันลามเข้ามดลูก ไปสู่ปีกมดลูก ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ปีกมดลูกอักเสบ ทำให้เกิดท้องนอกมดลูก หรือเป็นหมันในที่สุด
ที่น่าตกใจ เพราะรายงานข่าวพบว่า เกิดการดื้อยาของเชื้อโกโนเรียสายพันธุ์ "H041" ซึ่งถูกค้นพบที่ญี่ปุ่นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จากผู้หญิงบริการทางเพศในญี่ปุ่น วัย 31 ปี ก่อนพบว่าระบาดเพิ่มขึ้นในฮาวาย แคลิฟอร์เนีย และนอร์เวย์
การพบเชื้อดื้อยา ทำให้ถูกขึ้นบัญชีเป็นเชื้อโรคร้ายแรง เนื่องจากสามารถทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการช็อกเฉียบพลัน และเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่วันเท่านั้น
จากข่าวดังกล่าวส่งผลให้ผู้อำนวยการกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรด้านการแพทย์แห่งชาติ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐสภาสหรัฐอเมริกา ทุ่มงบประมาณ 54 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้สำหรับการวิจัยพัฒนายารักษาเชื้อโกโนเรียสายพันธุ์ดื้อยาใหม่นี้ด้วย รวมทั้งการรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงพิษภัยของมัน เพราะเชื้อชนิดนี้จัดว่าต้อง เฝ้าระวัง เนื่องจากมักเป็นในหมู่ผู้คนที่มีอายุ 15-24 ปี ปัจจุบันสามารถรักษาได้ด้วยยา รวมทั้งยาใหม่ที่ถูกพัฒนาเพื่อต่อต้านเชื้อโกโนเรียที่มีการดื้อยา
สำหรับอเมริกามีการพบว่า ผู้คนได้ติดเชื้อโกโนเรียเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น ในรัฐยูทาห์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 74 รัฐมินนิโซตา เพิ่มขึ้นร้อยละ 35
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า สถานการณ์ในประเทศไทยเป็นเช่นใด...
ข้อมูลจากกลุ่มบางรักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงานว่า ประเทศไทยยังไม่พบเชื้อโกโนเรียสายพันธุ์ใหม่ที่มีการดื้อยา ตามที่มีการรายงานว่าพบในประเทศญี่ปุ่น ประเทศในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา ซึ่งจากการรายงานการรักษาในประเทศไทยพบว่ายาที่ใช้รักษาเชื้อโกโนเรีย ยังได้ผลดี อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรค ได้มีระบบเฝ้าระวัง โดยนำเชื้อโกโนเรียที่พบในผู้ป่วยมาเพาะพันธุ์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อนำมา ทดลองกับยารักษาต่างๆ อยู่เสมอ ซึ่งยังไม่พบว่ามีการดื้อยาแต่อย่างใด
จริงๆ แล้วเชื้อโกโนเรีย จัดเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ไม่ได้มีความร้ายแรงมากกว่าไวรัสเอชไอวี เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียมีขนาดใหญ่กว่าเชื้อไวรัส ที่มีขนาดเล็กมาก จึงคิดวิธีรักษาเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ยาก ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการ ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีประมาณ 30 ล้านคน แต่ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ โกโนเรีย ส่วนที่มีการคาดการณ์ว่าเชื้อ โกโนเรียสายพันธุ์ใหม่รุนแรงกว่าเอชไอวีในระยะสั้นเพราะจะทำให้เกิดอาการช็อกนั้น ก็มีโอกาสน้อยมากที่เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดจนเกิดอาการช็อก
เชื้อโกโนเรียปรับตัวได้เก่ง หากใช้ยาปฏิชีวนะรักษาพร่ำเพรื่อ ไม่มีการควบคุม ประชาชนสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา ก็อาจทำให้ดื้อยาได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หากมีการดื้อยาจะทำให้การรักษายากขึ้น ใช้เวลารักษายืดยาวกว่าเดิมเท่านั้น แต่ไม่ได้ร้ายแรงกว่าไวรัสเอชไอวีแน่นอน ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อโกโนเรียส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อเป็นโรคหนองใน สำหรับอาการในเพศชาย ร้อยละ 90 ที่ติดเชื้อจะมีอาการปัสสาวะขัด เจ็บแสบขณะปัสสาวะ มีหนองสีขาวข้นไหลออกมาพร้อมปัสสาวะ และร้อยละ 10 จะไม่มีอาการ ขณะที่เพศหญิงร้อยละ 50 ที่ติดเชื้อจะมีอาการปัสสาวะขัดเช่นเดียวกัน มีตกขาวแต่สีเขียวเข้ม ส่วนร้อยละ 50 จะไม่มีอาการ หากพบว่ามีอาการดังกล่าวให้รีบปรึกษาแพทย์ ซึ่งจะมีการซักถามประวัติการมีเพศสัมพันธ์
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ คือ 1.มีเคยเพศสัมพันธ์มากกว่า 1 คน 2.ไม่ใช้ถุงยางอนามัย 3.เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ และ 4.เคยมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า พบกันแบบฉาบฉวย ส่วนประชากรกลุ่มเสี่ยงคือ 1.วัยรุ่น ตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์จนถึงอายุ 24 ปี 2.กลุ่มชายรักชาย และ 3.ผู้ขายบริการทางเพศ
ในการรักษาจะมีทั้งการฉีดยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นยารักษาตามมาตรฐานทั่วโลก ฉีดเพียงเข็มเดียว อาการจะดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง บางกรณีอาจใช้ยารับประทานทานครั้งเดียว 4 เม็ด จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้เช่นกัน
วิธีง่ายๆ ให้ห่างไกลจากโรคนี้ คือ แค่รักเดียวใจเดียว ไม่สำส่อนทางเพศก็เท่านั้น...
--มติชน ฉบับวันที่ 5 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)--
- 2812 views