สธ.เผยโรคมะเร็งสาเหตุตายอันดับหนึ่งของคนไทยติดต่อกันหลายสิบปี ระบุปี 54 มีผู้เสียชีวิต 61,082 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย แจงข้อมูลองค์การอนามัยโลกคาดผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละแสน และแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ของทุกปี องค์การอนามัยโลกและสมาคมต่อต้านมะเร็งสากล กำหนดให้เป็นวันมะเร็งโลก (World Cancer Day) เพื่อบรรเทาปัญหาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย โดยปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของโลก ในปีพ.ศ. 2551 องค์การอนามัยโลกรายงานทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการตรวจวินิจฉัย12.7 ล้านราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 7.6 ล้านราย ส่วนในปีพ.ศ. 2573 หรืออีก 17 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยใหม่ 21.3 ล้านคน และจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 13 ล้านคน

สำหรับในปีนี้ (พ.ศ.2556) ได้กำหนดแนวคิดการรณรงค์ว่า "มะเร็ง-คุณรู้แค่ไหน" (Cancer– Did you know) เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจโรคมะเร็งอย่างถูกต้อง โดยมะเร็งร้อยละ 30-40 สามารถป้องกันได้ด้วยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และหากได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะสมจะสามารถป้องกันและได้รับการรักษาได้ทันท่วงที

รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายสิบปี ล่าสุดในปีพ.ศ.2554 มีผู้เสียชีวิต 61,082 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย เป็นชาย 35,437 ราย และหญิง25,645 ราย นอกจากนั้น องค์การอนามัยโลกคาดมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 118,600 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมะเร็งที่ผู้ชายป่วยมากที่สุดได้แก่มะเร็งตับ ปอด ลำไส้และทวารหนัก ต่อมลูกหมากและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนในผู้หญิงได้แก่ มะเร็งเต้านม ตับ ปากมดลูก ปอดลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากการใช้ชีวิตแบบคนเมืองนิยมกินแต่เนื้อสัตว์ กินผักผลไม้น้อย ออกกำลังกายน้อย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เตรียมผลักดันการเพิ่มการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก เป็นนโยบายของประเทศเช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยได้มอบให้สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และสถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือไฮแทปศึกษาความเป็นไปได้ คาดจะเสร็จภายในกลางปีนี้ เพื่อเสนอต่อครม.

"การตรวจคัดกรองจะเป็นการค้นหาคนที่เริ่มมีความผิดปกติของลำไส้เพื่อเข้าสู่ระบบการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาได้เร็ว ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสหายมีมาก การเสียชีวิตลดลง" นพ.ประดิษฐ ระบุ

ด้านนพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่าคนไทยยังมีความเชื่อผิดๆเรื่องโรคมะเร็งว่าเป็นโรคเคราะห์กรรมหรือเชื่อว่าเป็นแล้วต้องตาย รักษาไม่ได้จึงไม่ได้ให้ความสนใจที่จะป้องกันหรือเข้ารับการตรวจคัดกรองตามที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ เนื่องจากเซลล์มะเร็งใช้เวลาก่อตัวนานและไม่แสดงอาการใดๆ ให้รู้ ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่มาพบแพทย์ประมาณร้อยละ70-80 อยู่ในระยะเซลล์ลุกลามไปที่อวัยวะอื่นแล้ว โอกาสหายมีน้อยมากทำให้สถิติการเสียชีวิตติดอันดับ 1

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งแก้ไข โดยพัฒนาระบบการป้องกันด้วยการรณรงค์ลดพฤติกรรมเสี่ยง5 สาเหตุหลัก คือ บุหรี่ เหล้า เพิ่มการกินผักผลไม้ การออกกำลังกาย การควบคุมน้ำหนักตัวและบริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี เริ่มตั้งในเด็กแรกเกิด ฉีด 4 ครั้งจนถึงอายุ 6 เดือนเพื่อป้องกันมะเร็งตับ และเพิ่มระบบการตรวจคัดกรองมะเร็งที่พบบ่อยคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวอีกว่า ในด้านการรักษาผู้ป่วย ได้พัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคมะเร็งให้มีประจำใน12 เครือข่ายบริการ ตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โดยมีสถาบันมะเร็งแห่งชาติเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ เทคโนโลยีชั้นสูงในการตรวจวินิจฉัยและรักษา นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังได้ตั้งเป้าหมายใน5 ปี จังหวัดในภาคอีสาน 20 จังหวัด มีไข่พยาธิใบไม้ตับน้อยกว่าร้อยละ 10 และภายใน3 ปี สตรีไทยมีการตรวจเต้านมจนสามารถพบมะเร็งในระยะ 1-2 ซึ่งเซลล์มะเร็งยังไม่แพร่กระจายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ในปี 2557 ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีไม่ต่ำกว่าร้อยละ80 และคิวรอการฉายแสงรักษามะเร็งลดลงกว่าร้อยละ 50 รวมทั้งให้โรงพยาบาลทุกแห่งมีระบบการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้าย ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณภาพสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ขณะที่ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติกล่าวว่า สัญญาณอันตรายของมะเร็ง 7 ประการได้แก่ 1.ระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะผิดปกติ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด 2.กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียดแน่นท้องเป็นเวลานาน3.มีอาการเสียงแหบและไอเรื้อรัง 4.มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติเช่น มีกลิ่นเหม็น 5. เป็นแผลรักษาไม่หาย 6.ก้อนหูดหรือไฝตามร่างกายโตขึ้น และ7.มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่างๆของร่างกาย ขอให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาโดยละเอียดต่อไป