ค่ายยานอกปรับทัพธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ "เอไซ" ชูกลยุทธ์รุกหนักเจาะร้านขายยา-ร.พ.เอกชนหวังปั้นรายได้เสริม หลังยอดขายผ่าน ร.พ.รัฐ ลดฮวบ 15% เผยนโยบายรัฐลดงบสวัสดิการ กระทบตลาดยาโตลดลงเหลือ 5-7% ต่อเนื่อง เล็งขยายตลาดส่งออกเพิ่มเป็น 30% หลังเปิดเออีซี
นายทวีศักดิ์ สีทองสุภณา ประธานกรรมการ บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจยาและเวชภัณฑ์จากต่างประเทศต้องเร่งปรับตัวทางธุรกิจกันอย่างมาก หลังตลาดยามีการแข่งขันที่รุนแรง แย่งช่องทางจำหน่ายเพื่อขยายตลาดกันมากขึ้น หนีช่องทางการจำหน่ายผ่านโรงพยาบาลรัฐที่เริ่มมีอัตราการเติบโตในสัดส่วนที่ลดลง หลังจากรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข กรมบัญชีกลางมีนโยบายในการลดทอนงบ ประมาณสวัสดิการเบิกจ่ายยาของเหล่า ข้าราชการประมาณ 5-6 พันล้านบาทต่อปี
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดยาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าราว5-6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของตลาดยาโดยรวมมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท ต้องเติบโตในอัตราที่ถดถอยประมาณ 5-7% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตั้งแต่ปี 2553-2555 แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ตลาดยาสามัญมีการเติบโตขึ้นประมาณ 1-2 พันล้านบาทต่อปี แต่ก็ไม่สามารถทดแทนส่วนที่หายไปได้ เพราะยาต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นยาเฉพาะทางมีมูลค่าสูง
ขณะที่การปรับตัวของผู้ประกอบการจะเน้นขยายช่องทางจำหน่ายไปยังร้าน ขายยา และโรงพยายาลเอกชนมากขึ้น เพื่อ รักษาการเติบโตของธุรกิจและยอดขายให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับบริษัทที่วางแผนจะหาพันธมิตรเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้น ช่วยขยาย พอร์ตสินค้าเจาะร้านขายยาให้มากขึ้นเป็น 2 พันร้าน จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 1 พันร้านเท่านั้น จากร้านยาทั่วประเทศที่มีนับหมื่นร้าน
นอกจากนี้ บริษัทจะขยายไลน์สิน ค้าด้วยการเจรจากับบริษัทแม่เพื่อนำผลิต ภัณฑ์เวชสำอางเข้ามาทำตลาดในประเทศ ไทยมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มูลค่าราว 8 พัน-1 หมื่นล้านบาทและมีการเติบโตในทิศทางที่ดี โดยผลิต ภัณฑ์ดังกล่าวคาดว่าจะเปิดตัวในประเทศ ไทยช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้
"ภาพรวมตลาดยาถือว่าหดตัว ไม่ มีการเติบโต เนื่องจากนโยบายรัฐบาลที่ควบ คุมและลดทอนการเบิกจ่ายงบประมาณการ ใช้ยาลงไปเรื่อยๆ จึงกระทบต่อยอดขายของยานอกหรือยาจากต่างประเทศโดยตรง ทำให้สัดส่วนยาจากต่างประเทศที่จำหน่าย ให้กับภาครัฐลดเหลือ 70% จากอดีตมีอยู่ 75% บริษัทก็ต้องปรับตัวด้วยการเสริมทีมขายเจาะร้านขายยา โรงพยาบาลเอกชน และ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์มากขึ้น รวมถึง การเพิ่มยาใหม่ๆ มากขึ้น เช่น ร้านขายยาจากเดิมมียาประมาณ 4-5 ตัว เดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ได้ลงนามกับบริษัท อาปราคัวร์ (ประเทศ ไทย) จำกัด เพื่อจำหน่ายยา แก้หวัดอาปราคัวร์ ซึ่งตลาดให้การตอบรับดีมาก โดยปี 2556 บริษัทคาดว่าจะสร้างยอดขายได้ถึง 30 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 16-17 ล้านบาท และบริษัทยังปรับลดราคา ยาบางรายการ 15-20% เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้มากขึ้นด้วย" นายทวีศักดิ์ กล่าว
ส่วนภาพรวมยอดขายของบริษัทมี การเติบโตในอัตราติดลบ 15% โดยเฉพาะช่องทางโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 900 ล้านบาท ขณะที่ช่องทางร้านขายยาถือว่ามีการเติบโตสูงประมาณ 27-28% และมียอดขายราว 200 ล้านบาท โรงพยาบาลเอกชนเติบโต 7-8% ยอดขาย 150 ล้านบาท และมหาวิทยาลัยแพทย ศาสตร์ ซึ่งภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1.25 พันล้านบาท และเมื่อรวมกับตลาดส่งออกในแถบอินโดจีนทั้งกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ซึ่งถือว่าเติบโตมาก ถึง 30% จึงคาดว่าจะทำให้รายได้รวมทั้งปีจากตลาดในประเทศและส่งออกอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท
บริษัทยังวางยุทธศาสตร์ในการรุกตลาดยาในภูมิภาครับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ด้วย เนื่อง จากยาที่มาจากประเทศไทยค่อนข้างมีคุณ ภาพและเป็นที่ยอมรับในประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นโอกาสของไทยโดยเป้าหมายใน 3 ปีข้างหน้า (2556-2558) บริษัทต้องการเพิ่มสัดส่วนส่งออกเป็น 30% มีรายได้ทะลุ 2 พันล้านบาท และเพิ่มเป็น 40% ในปี 2560 จากปัจจุบันสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ 15-16% เท่านั้น
ที่มา: นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 4 - 7 พ.ย. 2555
- 2 views