ผมได้อ่านบทความใน www.manager.co.th  วันที่ 15 สิงหาคม 2555 เรื่อง แพทย์สุดเซ็งถูกบีบงบ “30บาทรักษาทุกโรค” จำใจจ่ายยา “เบาหวาน-ความดัน” คุณภาพต่ำ!   เมื่ออ่านจบแล้วผมเห็นว่ามีหลายเรื่องที่เป็นการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย  บางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพ  บางเรื่องก็ขัดแย้งกันเอง  ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดพลาดของประชาชน  ในฐานะที่เคยเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมา 2 สมัย (8ปี) จึงเห็นว่าควรจะต้องชี้แจงแถลงไขกันพอสมควรดังนี้ครับ  (ตัวหนังสือสีแดงในวงเล็บเป็นของผม) 

หมอโรงพยาบาลประจำอำเภอชี้ 30 บาทแค่นโยบายประชานิยมอุ้มชนชั้นกลาง ให้เงินน้อยบีบรพ.ลดคุณภาพยา“เบาหวาน-ความดัน” ได้ยาคุณภาพต่ำ พญ.เชิดชู อัด 30 บาทมหันตภัย นักวิชาการสาธารณสุขเผย 30 บาทแนวคิดดีแต่ความเป็นจริงสวนทาง รพ.ศูนย์บางแห่งผ่าตัดหัวใจยังไม่ได้ แฉวิธีจัดสรรงบ สปสช.โบราณ-ไร้มาตรฐาน-ขาดข้อมูล

(พาดหัวได้น่ากลัวมาก)                  
       
แม้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จะเป็นนโยบายยอดนิยมด้วยแนวคิดที่ดี สามารถตีโจทย์ในใจประชาชนแตก จนทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถซื้อใจมวลชนได้ตลอดมา แต่หากลงลึกในรายละเอียดภาคปฏิบัติยังพบว่ามีปัญหาอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ รับการแก้ไข ผูกปมใหม่แทนคลายปมเก่า จากลดความเหลื่อมล้ำจึงกลายเป็นเพิ่มความเหลื่อมล้ำ แถมด้วยการลิดรอนสิทธิ์ เพราะประชาชนเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพได้เท่าเทียมกันตามที่รัฐบาลเคยหาเสียง ไว้แต่อย่างใด

(โครงการนี้แม้ว่าจะเริ่มใหม่  แต่ก็เริ่มมาจากรากฐานเดิมของกระทรวงสาธารณสุข  ไม่ได้ไปสร้างอะไรใหม่นอกจาก สปสช. ดังนั้นกรรมเก่าที่สะสมมามันก็ยังคงอยู่)
       
นโยบายลดความแออัด รพ.รัฐ ลิดรอนสิทธิ์คนไข้หนัก
       
แพทย์คลินิกเวชกรรมชุมชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครเผยว่า แม้ว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะมีแนวคิดที่ดีคือลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน ในการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า นโยบายหลายอย่างเป็นการเพิ่มความเหลื่อมล้ำและลิดรอนสิทธิ์ประชาชน เนื่องจากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี

(นี่เป็นคำกล่าวหาลอย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นนโยบายอะไรบ้าง  อาจจะเป็นนโยบายขึ้นค่าตอบแทนให้แพทย์หรือนโยบายใช้บัตรประชาชนแทนบัตรทอง )   

โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งโรงเรียนแพทย์ 14 แห่งกระจุกตัวอยู่ในเขตใจกลางเมือง หรือริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากเดิมกรุงเทพมหานครยังมีขนาดเล็ก แต่เมื่อเมืองมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่โรงเรียนแพทย์มีเท่าเดิม ประชาชนจึงต้องเดินทางไปโรงพยาบาลไกลขึ้น กอปรกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยหลายคนไม่ต้องการเดินทางไปรักษาไกล จึงทำให้เกิดปัญหาคนเข้าไม่ถึงบริการสาธารณสุข

(ผมว่าปัญหานี้มีมาก่อนที่จะมีโครงการนี้นะครับ  มาทำเนียนแบบนี้ไม่ถูกหรอกครับ)
       
ขณะเดียวกันโรงพยาบาลขนาดใหญ่ไม่ได้สังกัดกระทรวงเดียวกันทั้งหมด ทำให้นโยบายไม่เป็นไปในทางเดียวกัน จนเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้รับบริการในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

(เรื่องนี้ก็มีมาก่อนโครงการนี้ครับ  คุณอยากให้โรงพยาบาลพระมงกุฎมาสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเหรอครับ  ลองไปถาม ผบ.ทบ.ดูสิครับว่าจะยอมไหม  อย่าลืมว่ามีโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงอื่นในจังหวัดอื่นนอกเหนือจากกรุงเทพก็มีนะครับ)

ปัญหาหนึ่งซึ่งเพิ่งส่งผลกระทบต่อคนไข้ของโรงพยาบาลราชวิถีและโรงพยาบาลพระมงกุฎ คือ

นโยบายลดความแออัดของโรงพยาบาลภาครัฐ ซึ่งโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งเพิ่งประกาศให้คนไข้ในระบบ30 บาท ทั้งคนไข้ใหม่และคนไข้เก่า ออกไปเริ่มต้นรับการรักษาในคลินิกเวชกรรมภายใต้สังกัดตนเอง ตั้งแต่วันที่1 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความระส่ำระสายให้กับคนไข้เก่าซึ่งป่วยเป็นโรคเรื้อรังจำนวนมาก เพราะต้องไปเริ่มต้นการรักษากันใหม่ทั้งหมด
       
นโยบายนี้แม้เป็นไปตามแนวคิดของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ให้ส่งต่อคนไข้จากสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ สู่ระดับทุติยภูมิ และตติยภูมิตามลำดับ เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาลศูนย์แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภาพของการเลือกปฏิบัติ โดยเอาคนไข้ในระบบ 30 บาทออกทั้งหมด แบบไม่คำนึงว่าควรเลือกเอาใครออกบ้าง
       
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือคนไข้ที่ป่วยหนัก หรือเป็นโรคเรื้อรังหลายโรค จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเป็นประจำ เมื่อต้องเข้าสู่ระบบการรักษาแบบส่งต่อ จึงอาจได้รับการรักษาที่ล่าช้าเกินไป
 

(โดยหลักการแล้วนโยบายนี้ถูกต้องใช่ไหมครับ   สปสช.ก็มีหน้าที่ดูแลคนของ สปสช.จะให้ทะลึ่งไปจัดการคนสิทธิอื่นคุณว่าสำนักงานประกันสังคม  กรมบัญชีกลางเขาจะยอมหรือครับ  พวกผมกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพก็ต่อสู้เรื่องนี้มาตลอดครับ  ไม่เคยได้ยินบ้างเหรอครับเรื่องระบบสุขภาพมาตรฐานเดียวน่ะครับ  ส่วนการที่มาอ้างว่าคนไข้ระส่ำระสายคงเป็นเพราะเขาต้องเปลี่ยนที่ไปรับบริการมากกว่ากระมังครับ  ไม่ได้เริ่มต้นรักษาใหม่หรอกครับ  เพราะประวัติการรักษาพยาบาลของคนไข้ที่โรงพยาบาลเขามีบันทึกอยู่นี่ครับ  เขาเรียกว่าเวชระเบียนใช่ไหม  เดี๋ยวนี้เขาทันสมัยครับใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ได้ครับ  ไม่ทราบว่าแพทย์ผู้ให้สัมภาษณ์ไปหลงมิติอยู่ที่ไหนมาครับ  แล้วเขาย้ายคนไข้ในออกไปด้วยหรือเปล่าล่ะครับ  อีกเรื่องนะครับเขาพึ่งทำมาได้15 วันเท่านั้นเอง  แต่ท่านนายแพทย์คลินิกเวชกรรมชุมชนก็ออกมาวิจารณ์แล้ว  มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ  กว่าระบบจะลงตัวก็คง 6 เดือนปีนึงละมั๊งครับ )   

ขณะที่คนไข้ต้องทำตามนโยบายที่โรงพยาบาลศูนย์ประกาศมา โดยไม่มีอำนาจการต่อรอง และไม่รู้ตัวกระทั่งว่าตนกำลังถูกลิดรอนสิทธิ์ แทนที่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำตามนโยบายที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้ กลับกลายเป็นโครงการที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำในทางปฏิบัติ

(ถ้าจะกลับคำพูดมาบอกว่าเป็นนโยบายของโรงพยาบาลศูนย์อีกผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงครับ  เพราะโรงพยาบาลศูนย์ไม่ได้ขึ้นกับ สปสช.นี่ครับ  คงต้องมาบอกให้ชัดนะครับว่าเป็นนโยบายของใครกันแน่)
       
‘4 โรคร้าย’ สปสช.ให้งบไม่ยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม แง่ดีของสิทธิการรักษาพยาบาลในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เมื่อเทียบกับสิทธิการรักษาประเภทอื่นๆ ขณะนี้มีโรคหัวใจ โรคไต ขาเทียม และโรคเอดส์ ที่มีเครือข่ายในการรักษา และส่งต่อ ถือว่าเป็นการรักษาที่มีระบบดี

(สี่โรคร้ายคือโรคที่ว่ามานี่ใช่ไหมครับ  ตกลงว่าขาเทียมเป็นโรคร้ายด้วยนะครับ  ผมก็ว่าตามนั้นนะครับ)
       
โครงการเหล่านี้จะได้งบประมาณมากกว่าการรักษาโรคอื่นๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นโครงการเหล่านี้มักจะไม่อยู่ยั่งยืน สุดท้ายพอ 2-3 ปีก็อาจตัดงบลงเหมือนเดิม อย่างกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนเลนส์แก้วตา ซึ่งให้งบเพิ่มเพียง 2-3 ปีเท่านั้น

(อันนี้ออกลูกมั่วแล้วครับ  โครงการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเป็นโครงการพิเศษเฉลิมพระเกียรติครับ  หลังจากหมดโครงการพิเศษก็เป็นสิทธิประโยชน์ตามปกติครับ    แต่ไตและเอดส์เป็นสิทธิประโยชน์ใหม่ครับทำมา 6 -7 ปีแล้วครับ  มีแต่เพิ่มงบทุกปีครับ  รบกวนไปแหกตาดูเอานะครับ)
       
แนวทางในการเลือกให้งบประมาณเพิ่มของ สปสช. มาจากการที่ประชาชนร้องเรียนโรคไหนมาก มีเคสเยอะ ทาง สปสช.ก็จะให้งบประมาณในการจูงใจแก่หน่วยงานที่รักษา

(อันนี้ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันเลยครับ แต่อย่างเรื่องโรคไต  โรคเอดส์ที่เพิ่มเป็นสิทธิประโยชน์ใหม่ขึ้นมาก็เพราะตอนที่โฆษณาว่า 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น  ตอนนั้นยังไม่ครอบคลุมเรื่องนี้นะครับ   เอ๊ะ แต่ว่าถ้าเรื่องไหนมีเคสเยอะ สปสช.ก็ให้งบประมาณจูงใจนี่ทำไม่ถูกหรือครับ ) 
       
หากระบบโดยรวมของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคยังเป็นเช่นนี้ต่อไป และไม่มีการทำความเข้าใจกับประชาชน ในอนาคตแพทย์จะมีคุณภาพในการรักษาที่ต่ำลง และออกจากระบบมากยิ่งขึ้น!

(ที่พูดมาทั้งหมดนี่เรียกว่าระบบโดยรวมเหรอครับ  ผมว่านึกอะไรได้ก็พูดมากกว่ามั๊งครับ  ถ้าพูดระบบโดยรวม  น่าจะพูดเรื่องระบบส่งเสริมป้องกัน  ระบบรักษา  ระบบฟื้นฟู  อะไรแบบนั้นมั๊งครับ  แพทย์ที่ออกจากระบบนี่เพราะไปอยู่กับเอกชนแล้วได้เงินมากกว่าครับ ) 
       
นโยบาย 30 บาทงบน้อย บีบรพ.ใช้ยาคุณภาพต่ำ
       
ด้านแพทย์โรงพยาบาลประจำอำเภอกล่าวว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นนโยบายประชานิยมที่จับกลุ่มคนชั้นกลางที่เป็นฐานคะแนน เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ มากกว่าการคำนึงถึงการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย

(ไม่ทราบว่าจากอำเภอไหนล่ะครับ  กลับไปอ่านเจตนารมณ์ของ พรบ.หลักประกันสุขภาพหน่อยนะครับ เขาบอกว่าเป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขครับ  ไม่ใช่ระบบที่ช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยครับ  เรื่องนี้ไม่ได้มาจากนโยบายประชานิยมอย่างเดียวนะครับ  คุณหมอสงวน  นิตยารัมภ์พงศ์ ท่านผลักดันเรื่องนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีครับ  ภาคประชาชนที่เห็นดีเห็นงามร่วมผลักดันเรื่องนี้กับท่านก็มีไม่น้อยครับ  ถึงขนาดรวบรวมห้าหมื่นรายชื่อไปเสนอกฎหมายได้เลยนะครับ อ้อ  ฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยสมัยนั้นหรือพรรคเพื่อไทยสมัยนี้เป็นชนชั้นล่างนะครับ  ไม่ใช่ชนชั้นกลาง  อยากรู้จังว่าคุณหมอคนนี้มาจากอำเภอไหน  หรือไปหลงมิติที่ไหนมาทำไมข้อมูลข่าวสารผิดพลาดคลาดเคลื่อนขนาดนี้ ) 
       
ในอดีตที่ผ่านมา การรักษาผู้มีรายได้น้อยหรือมีฐานะยากจนจะอยู่ในรูปแบบของการสงเคราะห์ที่ ไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว อีกทั้งผู้มีรายได้น้อยมากส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้อยู่ดี เนื่องจากต้องคำนึงถึงค่าเดินทางไปรับการรักษา ขณะที่ผู้มีรายได้ปานกลางไม่ถึงขั้นยากจน เดิมก็มีบัตรสุขภาพ ที่ประชาชนต้องจ่ายในราคา500 บาท ซึ่งจะลดปริมาณการเข้ารับการรักษาแบบไม่จำเป็นลง

(ในอดีตมีผู้ล้มละลายจากการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมากด้วยครับ  เพราะรูปแบบการสงเคราะห์รักษาได้เฉพาะบางโรคเท่านั้น  ถ้าคนจนเป็นโรคมะเร็ง  ไตวายเรื้อรัง  เอดส์ แล้วไม่มีเงินรักษา  ไม่สามารถขายที่ขายบ้านมารักษาก็ตายสถานเดียวครับ  การสงเคราะห์อะไรที่หมอว่ามานั้นช่วยไม่ได้หรอกครับ   พอมีระบบหลักประกันสุขภาพคนจนก็เข้าถึงบริการมากขึ้นครับ  ยิ่งตอนยกเลิกเก็บ 30 บาทก็ยิ่งมาใช้บริการมากขึ้นอีกครับ  มีงานวิจัย  มีผลการสำรวจความนิยม (โพลล์)รองรับครับ  ไปขอดูที่ สปสช.นะครับ ผมขี้เกียจหาครับ  ส่วนเรื่องการเข้ารับการรักษาแบบไม่จำเป็นนี้  ไม่ทราบว่าปี ๆนึงมีปริมาณเท่าไรครับ  มีใครสักกี่คนครับที่มีเวลาว่างอยากจะไปนั่งรอที่โรงพยาบาล  มันน่าสนุกตรงไหน  เห็นคนป่วยเดินกระย่องกระแย่ง  ได้ยินเสียงคนร้องเจ็บปวด  ได้ยินเสียงคนไอ  อากาศก็ร้อนน่าอึดอัด  บางทีพยาบาลก็ทำหน้าเหมือนยักษ์เหมือนมาร  ขนาดคนป่วยยังไม่อยากจะไปเลยครับ  ต่อให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนหรู ๆ แพง ๆ บริการอย่างดี  แม้จะให้บริการฟรีก็ไม่มีใครอยากไปหรอกครับ)  
       
ปัจจุบันผู้ใช้สิทธิ์ 30 บาทจริงๆ จะเป็นผู้ที่มีเวลามานั่งรอ ซึ่งใช้เวลาเกิน 3 ชั่วโมง แต่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย หรือเป็นคนจนแฝง! จนเกิดกรณีการใช้ยาและทรัพยากรทางการแพทย์ที่เกินความจำเป็น อาทิ กรณีขอยาเผื่อไว้ก่อน และบางรายขอยาไม่ตรงกับโรคที่เป็นอยู่

( อันนี้ก็ต้องหางานวิจัยมายืนยันนะครับว่าต้องเป็นผู้มีเวลามานั่งรอ  เป็นคนจนแฝง  ว่ากันตรง ๆนะครับ  ในชนบทคนไม่ค่อยมีทางเลือก  ยังไงก็ต้องไปสถานีอนามัย/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือโรงพยาบาลชุมชนอยู่แล้ว  ต้องเป็นอำเภอใหญ่ ๆ เท่านั้นถึงจะมีคลินิกเอกชน  เวลาไปหาหมอทีก็หมดเวลาไปเป็นวันแหละครับไม่ว่าคนจนหรือคนชั้นกลางที่คุณหมอผู้ให้สัมภาษณ์เรียกว่าเป็นคนจนแฝง  แต่ถ้าเป็นคนจนในเมืองก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับถ้าเป็นคนรับจ้างรายวัน  เขาอาจจะยอมเสียเงินไปคลีนิคเอกชนเพราะจะได้เอาเวลาไปรับจ้างหาเงิน  แต่ถ้าไม่มีเงินจริง ๆ ก็ต้องไปโรงพยาบาลตามสิทธิของเขานั่นแหละครับ   ยังมีอีกพวกที่ไม่ได้ใช้สิทธิคือพวกที่มาทำงานต่างจังหวัด  แล้วไม่ได้ย้ายสิทธิมาด้วย  คนพวกนี้ก็ไม่กล้าไปใช้สิทธิเท่าไรหรอกครับ    ส่วนเรื่องการรอนานเดี๋ยวผมไปคุยต่อในเรื่องการกระจุกตัวของหมอและเรื่องการสร้างความเชื่อถือในโรงพยาบาลอีกทีนะครับ   ส่วนกรณีขอยาเผื่อหรือขอยาไม่ตรงกับโรคน่ะหมอจะไปจ่ายยาให้ทำไมล่ะครับ  เขาถือปืนมาจี้หัวหมอให้จ่ายยาให้เขาเหรอครับ  พวกที่ขอยาเผื่อหรือขอยาไม่ตรงกับโรคน่ะส่วนใหญ่เป็นพวกสิทธิราชการครับ  ซึ่งเดี๋ยวนี้กรมบัญชีกลางเขาก็เข้มงวดมากขึ้นแล้วนะครับ  ขอพูดอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกันนะครับ  สมัยก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพนี่ทำไมหมอจ่ายยาทีละมาก ๆ ล่ะครับ  บางทีหายไข้แล้วยายังเหลืออีกเป็นหอบ  เป็นเพราะหมอไม่มีประสบการณ์ในการรักษาเหรอครับ  หรือว่าเพราะว่าหมอได้ค่าคอมมิชชั่นและได้ผลประโยชน์อื่นจากบริษัทยากันแน่ครับ )
       
การรักษาด้วยระบบนี้ทำให้แพทย์ที่มีอยู่จำนวนเท่าเดิมต้องรับผู้ป่วย มากขึ้น จึงเห็นได้ว่าผู้ป่วยจะได้เข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเพียงไม่กี่นาที การจะมีคุณภาพจึงเป็นเรื่องยาก อาจตรวจพลาด รวมถึงการจะให้ข้อมูลครบถ้วนก็เป็นเรื่องยากมาก และการจ่ายยาของโรงพยาบาลรัฐย่อมมีคุณภาพต่ำกว่าโรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ป่วยจ่ายค่ารักษาตามปกติ

(เรื่องแพทย์ไม่พอนี่มีมาก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพใช่ไหมครับ  แพทย์ส่วนใหญ่พอใช้ทุนหมดก็หนีไปเรียนเฉพาะทางเพราะได้เงินมากกว่า  ก้าวหน้าเร็วกว่า ถ้าไม่งั้นก็หาทางมาอยู่ในเมืองหรือชานเมืองที่ไม่ทุรกันดาร  ปัญหาของชนบทคือขาดแคลนแพทย์เพราะแพทย์หนีมากระจุกตัวอยู่ในเมือง    ส่วนปัญหาในเมืองก็เป็นเพราะคนไม่เชื่อมั่นในมาตรฐานการรักษาพยาบาลของชนบท เลยเข้ามารักษาในเมืองคือในโรงพยาบาลทั่วไป  โรงพยาบาลศูนย์  หรือเข้ามารักษาในกรุงเทพกับโรงพยาบาลศูนย์ชื่อดังๆ เช่น  ศิริราช  รามา  จุฬา ฯลฯ    ส่วนปัญหาในกรุงเทพก็คือกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูและกองแพทย์และกองอนามัยในกรุงเทพบริหารจัดการไม่ดีเอง  ยิ่งผู้บริหาร กทม.อยู่คนละฝ่ายกับรัฐบาลแล้วก็แทบจะไม่ให้ความร่วมมืออะไรเลย   และยังมีอีกไม่น้อยที่หนีไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนเพราะได้เงินค่าตอบแทนมากกว่า     ซึ่งต้องยืนยันอีกครั้งว่าเป็นเรื่องที่มีปัญหามาก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพ  ส่วนเรื่องคุณภาพในการรักษาพยาบาลนั้นขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารด้วยเหมือนกันนะครับ  ลองไปดูระบบที่โรงพยาบาลหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์บ้างก็ได้นะครับ  เขาลดความแออัดได้  แถมชาวบ้านก็พอใจอีกต่างหาก ) 
       
“ยาในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มีคุณภาพในระดับหนึ่ง พอใช้ได้เท่านั้น อาจมีผลข้างเคียงมาจากยาเนื่องจากต้นทุนในการจัดการไม่เพียงพอ โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง อย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดัน ยาจะต่างจากการรักษาในระบบปกติ”

(สมัยที่ไม่มีระบบหลักประกันสุขภาพ  ผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้ยาดีกว่านี้หรือครับ หรือว่าได้ยาตัวเดียวกัน  ผมว่าได้ยาตัวเดียวกันนะ   ยาในระบบหลักประกันสุขภาพคือยาในบัญชียาหลักแห่งชาติครับ  เป็นยาที่ได้รับการรับรองว่าใช้รักษาได้ผลและยาแต่ละโรคก็มีหลายชนิด  แพทย์ก็สามารถเลือกได้นี่ครับว่าจะจ่ายยาอะไรให้ผู้ป่วย    แต่ยานอกบัญชียาหลักเป็นยาที่ยังไม่ได้รับการรับรองอะไรเลย   แถมมีราคาสูงมากซึ่ง สปสช.ก็ไม่ได้ห้ามจ่ายนะครับ  เพียงแต่ว่าต้องให้แพทย์ระบุเหตุผลความจำเป็นว่าทำไมต้องจ่าย  ถ้ามีเหตุผล สปสช.ก็ให้เงินครับ  แต่ในความเป็นจริงแพทย์ไม่อยากอธิบายเหตุผลแต่ชอบที่จะไปโน้มน้าวให้ผู้ป่วยจ่ายเงินเองมากกว่า  ซึ่งก็ต้องกลับไปดูเรื่องเดิมครับคือแพทย์จะได้ผลประโยชน์จากบริษัทยา  ส่วนเรื่องต้นทุนในการจัดการไม่เพียงพอนั้นไม่ใช่หรอกครับ  เป็นข้ออ้างที่จะทำลายความเชื่อมั่นของชาวบ้านที่มารับบริการมากกว่า   เพราะโรคเรื้องรังเหล่านี้ สปสช.เขามีระบบการบริหารจัดการรายโรค  มีนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขมาทำการศึกษาวิจัย  มีการคิดคำนวณอย่างดี  เดี๋ยวไปว่าอีกทีนะเรื่องการจัดงบนะครับ)
       
อย่างไรก็ดี การรักษาโรคเบาหวานและความดันในระบบบัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มีมาตรการลดความแออัดของผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป โดยให้ไปรับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต) หรือสถานีอนามัยเดิมแทน
       
“กระทรวงสาธารณสุขให้เหตุผลว่าโรคเบาหวาน ความดัน เป็นโรคเรื้อรัง ไม่ใช่โรคที่ต้องการรักษาเร่งด่วน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ รพ.สต และ อสม.สามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและความดันได้อยู่แล้ว ซึ่งคนไข้ก็รับยาได้ที่นี่”

(ถ้าคิดว่าไม่ดีก็ไปด่ากระทรวงสาธารณสุขสิครับ  จะมาด่า สปสช.ได้ยังไง รพ.สต.นี่นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์สมัยคุณจุรินทร์  เป็น รมว.สธ.ครับ อย่ามาเนียนครับ) 
       
มหันตภัย 30 บาท
       
สอดคล้องกับ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) ได้แสดงความเห็นถึงการที่นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้เพิ่มสิทธิให้ประชาชนเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ปีละ 4 ครั้ง จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ในเวทีทัศน์ของเว็บไซต์อิศรานิวส์ ในหัวข้อ มหันตภัย “30 บาทรักษาทุกโรค”
       
 หนึ่งในบทความดังกล่าวระบุว่า ประชาชนจะรู้ไหมว่า ระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคนี้ กำลังก่อให้เกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชน และมาตรฐานการแพทย์ไทย ดังนี้
       
1.โรงพยาบาลไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานได้ ทั้งนี้เนื่องจากงบประมาณแผ่นดินใส่เข้าไปเท่าไรก็ยังไม่ทำให้ประชาชนได้รับ การรักษาตามมาตรฐานการแพทย์ที่ดีที่สุด เนื่องจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ “จำกัดรายการยา” ให้แพทย์ไม่สามารถสั่ง “จ่ายยา” ได้ตามดุลพินิจทางวิชาการแพทย์เฉพาะทาง(ไม่ต้องเปรียบเทียบกับ รพ.ชุมชน หรือ รพ.ตำบลที่ส่วนใหญ่แล้วต้องการใช้แค่ยาสามัญประจำบ้านขององค์การเภสัชกรรม เพราะใช้รักษาโรคง่ายๆ (ที่ประชาชนก็อาจจะรักษาตัวเองได้ เช่น ปวดหัว ตัวร้อน ท้องผูก ท้องเดิน ฯลฯ)

(ต่างจากสมัยที่ไม่มีระบบหลักประกันสุขภาพมากขนาดไหนครับ  เมื่อสิบปีที่แล้วมีสักกี่คนครับที่ได้รับการรักษาตามมาตรฐานแพทย์ที่ดีที่สุดได้เฉพาะคนรวยกับพวกสิทธิราชการใช่ไหมครับ  คนจนที่ใช้บัตร สปร.ก็ได้รับการรักษาตามมีตามเกิดใช่ไหมครับ  จำนวนคนเข้าถึงบริการเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น้อยกว่าปัจจุบันใช่ไหมครับ  คนที่ล้มละลายเพราะการรักษาพยาบาลก็มีมากใช่ไหมครับ  ลองไปหาวิทยานิพนธ์ของพวกนักศึกษาปริญญาโท  คณะเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขของมหาวิทยาลัยมหิดลมาอ่านบ้างนะครับ  เมื่อสิบปีที่แล้วจะมีสักกี่คนครับที่ได้พบแพทย์เฉพาะทาง  ผมว่าเดี๋ยวนี้ดีกว่านะครับ)       

การจำกัดรายการยาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงถือเป็นการ “ละเมิดสิทธิผู้ป่วย” และเป็นการ “ละเมิดสิทธิและเสรีภาพทางวิชาการแพทย์” ซึ่งจะส่งผลกระทบแก่คุณภาพการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ทุเลาจากอาการป่วย กลายเป็นโรคเรื้อรัง และอาจตายทั้งที่ยังไม่สมควรตาย

(หมอพูดเหมือนกับว่ายารักษาความดันมีสักหมื่นชนิด  แต่ สปสช.จำกัดให้ใช้แค่ชนิดเดียวเท่านั้นซึ่งมันไม่จริง  ต้องเอาความจริงมาพูดกัน   อย่าเอาเรื่องการละเมิดสิทธิผู้ป่วย  ละเมิดสิทธิและเสรีภาพทางวิชาการแพทย์มาอ้างกันเลยครับ  แต่ควรจะมาพูดเรื่องจริยธรรมทางการแพทย์กันดีกว่า  หมอทั้งหลายต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงทางอ้อมหรือทางอื่นๆ จากบริษัทยา   และถ้าหมอรักษาคนไข้แล้วเห็นว่าคนไข้รายนี้ไม่ควรใช้ยาตามที่ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(คป.สช.)กำหนด  หมอก็บอกคนไข้ไปเลย  แล้วยุให้คนไข้ไปฟ้อง สปสช.เลยแล้วหมอก็ไปเป็นพยานให้ด้วยนะครับ  ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับว่าเขาไม่ได้จำกัด  ถ้าหมอเป็นว่าจำเป็นต้องใช้  หมอก็ต้องอธิบายว่าจำเป็นอย่างไร  แต่หมอไม่ยอมอธิบายเอง  แล้วมากล่าวหากันมันก็ไม่ถูก   ทีคณะกรรมการแพทย์กองทุนเงินทดแทน  ก่อนจะยอมรับว่าคนงานเจ็บป่วยจากการทำงานหรือไม่  เขายังเรียกเอาเวชระเบียนของผู้ป่วยไปดูก่อนเลย  และมีหลายกรณีมากที่ดูแล้วเห็นแย้งกับผลการวินิจฉัยของแพทย์ผู้รักษา  บอกว่าคนงานไม่ได้เจ็บป่วยจากการทำงาน มันละเมิดสิทธิของทั้งผู้ป่วยและแพทย์มากกว่าที่หมอมากล่าวหา คปสช.อีกนะครับ  ทำไมไม่เห็นหมอไปโวยวายอะไรกับคณะกรรมการแพทย์ของกองทุนเงินทดแทนเลยล่ะครับ) 

2. ประชาชนอาจไม่ได้รับยาที่เหมาะสมที่สุดในการรักษา นอกจากคณะกรรมการหลักประกันฯ จะ “จำกัดรายการยา” ไว้เป็นบางชนิดแล้ว ต่อไปประชาชนอาจจะไม่ได้รับยาที่เหมาะสมกับการเจ็บป่วยของตน เนื่องจากโรงพยาบาลไม่มีเงินซื้อยาไว้รักษาผู้ป่วย เนื่องจาก สปสช.จ่ายเงินให้ รพ.ล่าช้า และจ่ายเงินไม่ครบตามต้นทุนที่โรงพยาบาลใช้ในการรักษาผู้ป่วย ไม่คุ้มต้นทุนในการรักษาผู้ป่วย ทั้งๆ ที่งบประมาณแผ่นดินที่จ่ายไปเป็น“กองทุนหลักประกันสุขภาพ” ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 จนถึงปัจจุบัน เพิ่มจาก 27,612 ล้านบาท มาเป็น 107,814ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2555 เพิ่มมากขึ้น 3 เท่าตัว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 288.35

(โรงพยาบาลไม่มีเงินเพราะ สปสช.จ่ายเงินช้าหรือว่าเพราะโรงพยาบาลเคลียร์ค่าใช้จ่ายช้า  หรือเพราะโรงพยาบาลเคลียร์ค่าใช้จ่ายผิด  ผมได้รับคำปรารภมาจากพวกเจ้าหน้าที่หลายคนว่า  โรงพยาบาลส่งคนไปอบรมกับ สปสช.คนนึง  แต่คนที่ทำงานส่ง สปสช.เป็นอีกคนนึง  มันก็ทำช้าทำผิดสิครับ  จะมาโทษ สปสช.ได้ยังไง  อ้อ  สปสช.ได้รางวัลเรื่องการบริหารจัดการกองทุนด้วยนะ  ได้หลายปีครับเรียกว่าได้จนเบื่อแล้วก็ว่าได้  ไปลองหาดูในเวบไซด์ของ สปสช.นะครับ  ส่วนเรื่องจ่ายเงินไม่ครบตามต้นทุนน่ะ  เป็นเพราะว่าโรงพยาบาลคิดต้นทุนสูงเกินจริงหรือเปล่าครับ  ก็ไม่ต่างจากประกันภัยบุคคลที่สามหรอกครับ  นั่นบริษัทประกันภัยเขาก็จ้างคนมาคิดราคาเหมือนกันแล้วเขาพบว่าหลายโรงพยาบาลคิดต้นทุนสูงเกินจริงเพื่อจะมาหลอกเอาเงินจากบริษัทประกัน  เขาก็ไม่ยอมเสียเงินฟรี ๆ เหมือนกันครับ  สปสช.เขาก็มีการตรวจสอบก็พบว่ามีโรงพยาบาลบางแห่งครับที่มีการทุจริตคิดต้นทุนเกินจริง  แต่ก็เป็นส่วนน้อยมากครับไม่ต้องเอามาพูดก็ได้ครับ  สปสช.ทำมาจะ ๑๐ ปีแล้วครับ  ไม่เห็นมีโรงพยาบาลไหนล้มละลายเลยครับ)
       
ทั้งๆ ที่งบประมาณแผ่นดินต้องให้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพอย่างมากมายมหาศาลเช่น นี้ แต่หน่วยบริการประชาชนคือโรงพยาบาลและสถานบริการต่างๆ กลับได้รับเงินงบประมาณไม่พอที่จะทำงานได้ มีภาระหนี้สินเป็นจำนวนมากหลายร้อยโรงพยาบาล ต่อไปโรงพยาบาลอาจไม่มียาที่เหมาะสมในการจ่ายให้ผู้ป่วยอีกแล้วหรืออาจจะต้องจ่ายเฉพาะยาพาราฯ หรืออาจไปเอายาเก่า (ที่แลกกับไข่กลับคืนมาจากประชาชน) มาจ่ายให้ผู้ป่วยแทน?

(อันนี้เป็นการคาดเดาเอาเองโดยใม่มีหลักฐานทางวิชาการใด ๆมารองรับเลยครับ  หมอควรจะต้องบอกด้วยว่างบประมาณที่มากมายมหาศาลนั้นเป็นเงินเดือนแพทย์และบุคคลากรซะเท่าไร  กี่เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด  หมอลองดูรถไฟ  ขสมก. สิครับขาดทุนมาไม่รู้กี่ปี  ก็ยังจัดบริการได้ตลอด  แถมยังมีบริการฟรีด้วยนะครับ  อย่ามาสร้างความสับสนให้กับชาวบ้านดีกว่าครับ  ไม่มีรัฐบาลไหนปล่อยให้โรงพยาบาลล้มละลายหรอกครับ  พูดตรง ๆนะครับถ้าระบบหลักประกันสุขภาพไม่ดีจริง  สมัยรัฐบาลขิงแก่  รัฐบาลประชาธิปัตย์  คงยกเลิกระบบนี้ไปแล้วละครับ  แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นใช่ไหมครับ  อ.มงคล  เป็น รมว.สธ. นอกจากเพิ่มงบแล้วยังยกเลิกเก็บ 30 บาทอีกด้วยพอ  คุณวิทยา  คุณจุรินทร์มาเป็นรัฐมนตรี  ก็มายกเลิกการใช้บัตรทองให้ใช้บัตรประชาชน  มีการพยายามผลักดันให้ใช้บริการได้ทั่วประเทศ  โดยเริ่มทดลองให้ใช้บริการที่ไหนก็ได้ในบางจังหวัดก่อน  ฯลฯ หลายนโยบายจนจำไม่ไหวครับ  สิ่งเหล่านี้คือการยืนยันว่าระบบหลักประกันสุขภาพเป็นเรื่องดีจริงครับ)
       
3. ประชาชนเสี่ยงอันตรายจากความผิดพลาดของบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น เนื่องจากประชาชนไปโรงพยาบาลปีละ 200 ล้านครั้ง แต่แพทย์ที่ทำการตรวจรักษาผู้ป่วยมีไม่ถึง 10,000 คน ที่เหลือก็ไปทำงานบริหาร งานนโยบายกันหมด แพทย์ที่รักษาผู้ป่วยใน รพ.สธ.ต้องทำงานสัปดาห์ละ 90-120 ชั่วโมง โดยเฉพาะศัลยแพทย์ต้องอดนอนยืนผ่าตัดตลอดคืน รักษาที่ รพ.อื่นที่ห่างกันอีก 100 กม.?

(ก็กระจายหมอออกมาชนบทให้มากขึ้นสิครับ  เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะหมอมากระจุกอยู่ในเมือง  สมัยที่คุณหญิงสุดารัตน์เป็น รมว.สธ.ก็เคยปรารภใน คป.สช.ว่าไม่สามารถไปบังคับให้หมอกระจายออกไปอยู่ต่างจังหวัดได้  เพราะถ้าบังคับเขาก็ลาออกไปอยู่เอกชน  ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  แสดงว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของหมอเองครับ  ไม่ใช่ปัญหาที่ สปสช.สร้าง  และอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นคือ  ปัญหานี้มีมาก่อนมี สปสช.ครับ)
       
รพ.ศูนย์ยังด้อยศักยภาพ
       
ขณะที่หน่วยบริการระดับตติยภูมิ จะให้บริการที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูงขึ้นไปอีก และมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง (Excellent Center) ด้านต่างๆ เช่น ศูนย์การแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ เป็นต้น มีแพทย์เฉพาะทางสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นโรงพยาบาลศูนย์ สถาบันเฉพาะทางต่างๆ หรือสังกัดมหาวิทยาลัย เช่น โรงพยาบาลในโรงเรียนแพทย์
       
“โรงพยาบาลศูนย์หลายแห่งในปัจจุบันไม่ได้มีศักยภาพมากพอตามแนวคิดที่ วางไว้ เช่น โรงพยาบาลศูนย์ที่อุดรธานีผ่าตัดหัวใจไม่ได้ รักษาโรคมะเร็งได้น้อย ต้องส่งต่อไปรักษาข้ามเขต ทั้งที่โรงพยาบาลศูนย์ต้องมีศักยภาพสูงพอๆ กับโรงเรียนแพทย์ สาเหตุหนึ่งเนื่องจากเดิมโรงพยาบาลศูนย์ถูกยกระดับขึ้นมาจากโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลทั่วไปก็ดิ้นรนอยากเป็นโรงพยาบาลศูนย์ ทั้งที่บางแห่งไม่ค่อยจำเป็น แต่ระบบสาธารณสุขของเรามักถูกวางไว้ตามนักการเมือง”

(อ้าว  ก็ไปด่านักการเมืองสิครับ  จะมาด่า สปสช. ด่าระบบหลักประกันสุขภาพทำไมครับ)        
       
วิธีจัดสรรงบ สปสช.สุดห่วย
       
แหล่งข่าวในวงการแพทย์ ระบุว่าปัญหาที่แท้จริงของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคในมุมมองของนักวิชาการสาธารณสุข คือ วิธีการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องของการจัดสรรงบประมาณ และคุณภาพของโรงพยาบาลที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ทำให้แนวคิดที่ดีไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ และเกิดปัญหาตามมามากมาย
       
สำหรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการ 30 บาทฯ มี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการทำตัวเลขงบประมาณค่าใช้จ่ายรายหัวซึ่งเปรียบได้กับการทำก้อนเค้ก และขั้นตอนการแบ่งงบประมาณหรือการแบ่งเค้ก
       
“การทำตัวเลขค่าใช้จ่ายรายหัวในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ทำโดยไม่มีการคำนวณตามหลักวิชาการ ไม่มีข้อมูล unit cost ที่แท้จริง เนื่องจากคนทำขาดความรู้ด้านนี้ แต่ได้รับความไว้ใจจากผู้ใหญ่ให้ทำ ดังนั้นวิธีการทำก้อนเค้กของ สปสช. จึงนับเป็นวิธีที่โบราณ ขาดข้อมูล และเป็นวิธีที่ยังไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของ สปสช.”
       
นอกจากนั้น สปสช.ยังไม่เคยคำนวณล่วงหน้าว่า ถ้าจัดสรรแบบนี้ บริการใดจะขาดทุนบ้าง บอร์ดที่เข้ามานั่งคุมก็รู้รายละเอียดน้อย รู้ไม่ลึกจริง ทำให้ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงและที่มาของข้อมูลเป็นอย่างไร
       
“เมื่อวิธีการคำนวณก้อนเค้กเพี้ยนมาแต่ต้น เราจึงไม่รู้ว่าก้อนเค้กมันเหมาะหรือไม่เหมาะ หรือควรจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน ขณะเดียวกันขั้นตอนต่อไปคือวิธีการแบ่งเค้ก ถ้าแบ่งดี ทุกคนจะได้กินพอๆ กัน แต่ถ้าแบ่งไม่ดี บางคนจะอิ่ม แต่บางคนจะอด”

(ผมว่ารวมเลยนะครับ  การจัดทำงบประมาณของ สปสช.จัดทำโดยคณะอนุกรรมการด้านการเงินการคลัง  ซึ่งมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลังเป็นประธาน  ซึ่งในสองสมัยที่ผ่านมาคือ  ดร.โอฬาร  ไชยประวัติ และดร.อัมมาร์  สยามวาร์ลา  ทั้งสองท่านนี้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับแถวหน้าของประเทศนะครับ  คงไม่มีใครไปหลอกท่านได้ง่าย ๆ หลอกครับ  ส่วนอนุกรรมการก็มาจากผู้ให้บริการเป็นหลัก  มีตัวแทนจากกระทรวง  จากโรงพยาบาลทุกระดับรวมทั้งโรงพยาบาลเอกชน (ซึ่งเขาต้องปกป้องผลประโยชน์ของเขาเต็มที่อยู่แล้ว) ถ้าไม่ได้ทำงานตามหลักวิชาการมาเสนอ  ไปไม่รอดหรอกครับ  ทุกบาททุกสตางค์มีที่มาที่ไปอธิบายได้ทั้งนั้นครับ )
       
เช่นเดียวกับปัญหาที่ประสบในปัจจุบันคือ โรงพยาบาลใหญ่รวยอู้ฟู่ ขณะที่โรงพยาบาลเล็กยากจน หรืออีกกรณีหนึ่งคือโรงพยาบาลที่บริหารไม่ดีก็จะขึ้นตัวแดงเช่นกัน

(อ้าวไหนว่าโรงพยาบาลขาดทุน  มีโรงพยาบาลใหญ่รวยเพราะอะไรครับ  ไม่ใช่เพราะ สปสช.ครับ  แต่เป็นระบบที่ไม่ได้เรื่องของ สธ.เองต่างหากครับ  รวมถึงฝีมือของผู้บริหารด้วยใช่ไหมครับ  แหล่งข่าวท่านกล่าวเอง ผมไม่ได้กล่าว)
       
ข้อมูลงบประมาณค่าใช้จ่ายรายหัวของ สปสช. ในปีแรกอยู่ที่ประมาณหัวละ 1,200 บาท ขณะที่ปีนี้อยู่ที่หัวละ 2,700 บาท เท่ากับ 10 ปีที่ผ่านมางบประมาณเพิ่มขึ้น 200-300% แต่จำนวนผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นเพียง 30%ขณะที่ผู้ป่วยในเพิ่มเพียง 20% เท่านั้น

(งบที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าอะไรครับ  เป็นเพราะค่าตอบแทนแพทย์ที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลหรือเปล่าครับ  เป็นเพราะปีแรกรัฐบาลจัดงบประมาณให้ต่ำกว่าที่ควรจะได้หรือเปล่าครับ  เป็นเพราะมีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆหรือเปล่าครับ   แหล่งข่าวต้องการบอกข้อมูลนี้เพื่ออะไรครับ  เพื่อจะบอกว่างบประมาณสูงแล้ว  แต่โรงพยาบาลบริหารไม่เป็นเองใช่ไหมครับ  เพราะเงินเกือบทั้งหมดถูกจ่ายไปให้หน่วยบริการนะครับ)   
       
นั่นหมายถึงคนยังเข้าถึงบริการได้น้อย ทำให้รัฐบาลไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวเพราะเขามองเห็นแล้วว่างบขึ้นตั้งเกือบ 300% ขณะที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึง!

(อ้าว  ทีนี้มาบอกว่าคนเข้าถึงบริการได้น้อยอีกแล้ว  ตกลงยังไงแน่ครับผู้เขียนบทความ  เพราะมีช่วงหนึ่งอ้างว่ามีการรักษาพยาบาลปีละ 200ล้านครั้ง แต่แพทย์ไม่พอ  ผมชักงงแล้ว  หรือว่าท่านจับแพะชนแกะ)

ผมไม่มีข้อสรุปอะไรนอกเหนือไปกว่านี้และได้แต่หวังว่า  ทุกฝ่ายจะหันมาร่วมมือกันสร้างหลักประกันสุขภาพที่ดีให้กับคนทุกคนบนผืนแผ่นดินนี้ 

 

ที่มา : http://blogazine.in.th/blogs/baramee007/post/3560