เกร็ดเล็กน้อยเนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลกแน่นอนละว่าการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่เป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่ว่าการทำดีสิ่งหนึ่งแล้วจะเป็นใบอนุญาตให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆได้
ในประเทศฝรั่งเศสที่มีความชุกของผู้สูบบุหรี่ในเพศชาย36.6% และเพศหญิง 26.7% [1] เป็นความพยายามมานานแล้วของสมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ (l’association Droits des non fumeurs) ที่ยื่นคำร้องให้ศาลตีความกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะที่ปิดเช่นภายในตัวตึกนั้น ว่าให้รวมถึงลานกว้างที่มีที่กำบังด้วยเช่นกัน ซึ่งตามปกติแล้วในร้านอาหารหรือร้านคาเฟ่ บาร์ต่างๆจะมีลานกว้างภายนอกร้านเพื่ออนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ และบางร้านนั้นที่ลานกว้างก็มีกันสาดเพื่อปิดไม่ให้ฝนหรือแดดเข้ามาได้ ส่วนในที่สาธารณะที่เป็นที่เปิดเช่นในส่วนสาธารณะต่างๆนั้นไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ ดังนั้นสภาพของลานกว้างที่มีกันสาดจึงเป็นเสมือนสภาพกึ่งปิดและกึ่งเปิดที่เปิดช่องให้สมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ยืนคำร้องได้
อย่างไรก็ตามวันที่ 11 พฤษภาคม 2012 ศาลอุทธรณ์ของฝรั่งเศสยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นต้นให้มีคำพิพากษาไม่รับคำฟ้องของสมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ และยังคงถือว่าอนุญาตให้ประชาชนสามารถสูบบุหรี่ได้ในที่สาธารณะที่เป็นที่เปิดรวมถึงลานกว้างที่มีกันสาดด้วย ถึงแม้คำตัดสินไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ ทางสมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ก็ยังคงไม่ลดละความพยายามและจะยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาในภายภาคหน้า
หัวข้อข่าวนี้อาจเป็นหัวข้อที่ไม่น่าสนใจแต่ในประเทศฝรั่งเศสแล้วกลับปรากฏบนหนังสือพิมพ์หลายฉบับและในอินเตอร์เนต การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่มีอะไรมากกว่าที่คิด
ยาสูบเป็นพืชในตระกูล Nicotiana ใบของยาสูบไว้ใช้สำหรับบริโภคเช่น การเผาสูดสารระเหยหรือควัน มีการใช้ยาสูบกันมานานแล้วโดยเฉพาะในทวีปอเมริกาและจีน ซึ่งบ้างใช้เป็นยารักษาโรค บ้างบริโภคในเทศกาลสำคัญงานฉลองต่างๆ ยาสูบเริ่มแพร่เข้ามาในทวีปยุโรปในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เมื่อโคลัมบัสนำมาจากทวีปเมริกา การบริโภคยาสูบเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในฐานะสินค้าบริโภคอย่างหนึ่ง โดยไม่มีมาตรการทางกฎหมายห้ามปรามการบริโภค แต่เนื่องด้วยจากฤทธิ์ของยาสูบต่อสมองที่ส่งผลให้คนสูบมีอาการอยากมากขึ้นเรื่อยๆและขาดไม่ได้ รวมถึงการผลิตเป็นอุตสาหกรรมจำนวนมากๆ และการศึกษาที่พบว่ามีผลเสียต่อสุขภาพหลายๆประการ ทำให้ปัจจุบันทุกๆประเทศจึงมีกฏหมายและมาตรการการควบคุมการผลิต นำเข้า จำหน่าย และบริโภคยาสูบ
อย่างไรก็ตามมาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมยาสูบเพิ่งจะริเริ่มในช่วงทศวรรษ 1960-1970 และเป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยเริ่มในประเทศทวีปยุโรป ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการศึกษาค้นพบทางวิทยาศาสตร์ถึงผลเสียของยาสูบต่อสุขภาพ เช่นปัญหาเรื่องโรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง ซึ่งล้วนเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่แพงหูฉี่ และส่งผลกระทบต่อภาครัฐในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล และจากการศึกษาถพบผลกระทบสุขภาพของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับมาจากควันบุหรี่ของคนรอบข้าง ทำให้มีการเข้มงวดการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะและมีการแบ่งแยกกันมากขึ้น
สำหรับประเทศฝรั่งเศสได้มีกฎหมายที่ควบคุมยาสูบเมื่อปี 1976 โดยกฎหมาย loi Veil(1976) และบัญญัติเพิ่มเติม ในกฎหมาย loi Evin(1992) สาระสำคัญของกฎหมายคือ การห้ามการแจกจ่ายบุหรี่โดยให้เปล่า การห้ามขายบุหรี่แก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี การห้ามโฆษษาสินค้ายาสูบ การห้ามให้บริษัทยาสูบเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินการกุศลกับสมาคมต่างๆ และการกำหนดที่ห้ามสูบบุหรี่ โดยกำหนดให้สถานที่สาธารณะที่เป็นที่ปิด รวมถึงสถานที่ทำงาน สถานีรถ สถานที่ทำงาน ภายในร้านอาหารหรือคาเฟ่ โรงเรียน และในปี 2007 ได้มีการเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นโดยกำหนดให้ทุกพื้นที่สาธารณะที่เป็นที่ปิด เช่น พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เป็นที่ห้ามสูบบุหรี่ แต่เฉพาะบางที่เท่านั้นที่ยังสามารถสูบบุหรี่ได้ เช่นคาสิโน สำหรับห้องที่สูบบุหรี่ต้องมีการกำหนดพื้นที่แยกชัดเจน โดยให้มีพื้นที่มากสุด 35 ตารางเมตร และมีช่องระบายอากาศ
เมื่อทุกคนทราบผลเสียของควันบุหรี่ทางตรงและทางอ้อมต่อสุขภาพแล้ว หลายคนอาจเห็นด้วยและสนับสนุนมาตรการเชิงรุกเพื่อรณรงค์การไม่สูบบุหรี่เพื่อให้สังคมปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซนต์ อย่างไรก็ตามการเลือกใช้มาตรการโดยไม่ระมัดระวัง อาจส่งผลอื่นที่ไม่คาดคิดตามมา โดยเฉพาะในระบบเสรีประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคมและสิทธิมนุษยชน
ย้อนไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2010 ทางสมาคมเพื่อสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ไม่ได้ระวังและได้ออกแผ่นป้ายรณรงค์การไม่สูบบุหรี่ที่อื้อฉาวต่อสังคม แผ่นป้ายนี้ทำการปิดได้แค่เพียงหนึ่งวันและทนต่อกระแสต่อต้านทางสังคมไม่ไหว ต้องทำการเก็บทำลายหมด
คอนเซปต์ของแผ่นป้ายคือเพื่อรณรงค์ให้ลดจำนวนเด็กอายุน้อยที่สูบบุหรี่ โดยชี้ให้เห็นว่าการสูบบุหรี่เหมือนเป้นการยอมอยู่ใต้อำนาจอะไรบางอย่างเหมือนเด็กอยู่ใต้อำนาจของผู้ใหญ่ แต่ทว่าในแผ่นป้ายโฆษณากลับสื่อออกมาถึงการกดขี่ทางเพศมากกว่า เมื่อปรากฏรูปของเด็กชายและเด็กหญิงก้มลงต่อหน้าผู้ใหญ่ในขณะที่ภายในปากคาบบุหรี่อยู่ซึ่งตำแหน่งของบุหรี่ดันอยู่ตรงอวัยวะเพศชายพอดิบพอดี
และในปัจจุบันจากคำตัดสินของศาลอุททรณ์ที่กำหนดให้ลานกว้างที่มีกันสาดเป็นที่ที่สูบบุหรี่ได้ ก็สะท้อนถึงการสร้างความสมดุลย์ระหว่างพื้นที่ของผู้ที่สูบบุหรี่กับพื้นที่ของผู้ที่ไม่สบบุหรี่ ให้มีพื้นที่ยืนในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน และรักษาการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในทางกลับกันการรณรงค์อย่างหรักหน่วงให้ลดเหลือการบริโภคบุหรี่ศูนย์เปอร์เซนต์ก็อาจเป็นการทำลายความหลากหลายวัฒนธรรมและเป็นการพยายามผลักดันให้ผู้ที่สูบบุหรี่กลายเป็นเผ่าพันธุ์อื่นที่น่ารังเกียจในสังคม
แน่นอนละว่าการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่เป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่ว่าการทำดีสิ่งหนึ่งแล้วจะเป็นใบอนุญาตให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆได้
เมื่อพูดถึงการเหยียดชนเผ่าแล้ว มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแถมท้ายก่อนจบ ในเรื่องการรณรงค์การไม่สูบบุหรี่นั้นถึงแม้เป็นที่นิยมในทศวรรษ 1960-1970ก็ตาม แต่ผู้ที่ริเริ่มการรณรงค์การไม่สูบบุหรี่อย่างจริงจังคนแรกคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งฮิตเลอร์แต่ก่อนเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดมากแต่วันหนึ่งพบว่าสุขภาพตัวเองแย่ลงเรื่อยๆเมื่อให้หมอตรวจพบว่าเป็นเพราะสาเหตุจากการสูบบุหรี่จัดและหมอให้ฮิตเลอร์งดบุหรี่ลง เมื่อท่านผู้นำมิดำริจะงดบุหรี่เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ก็อยากเผยแพร่ความคิดนี้ให้กับลูกหลานชาวอารยันทุกคน เพื่อจะได้มีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า เพื่อให้ชาวอารยันมีสุขภาพร่างกายที่บริสุทธิ์ แต่ทว่าการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ของฮิตเลอร์เต็มไปด้วยความโหดร้ายและเหยียดเชื้อชาติ ฮิตเลอร์เชื่อว่ายาสูบเป็นผลผลิตของคนแดง(อินเดียนแดง)เพื่อจะมาทำลายคนขาว และยังกล่าวหาว่าพวกยิวที่เป็นตัวชั่วร้ายนำยาสูบเข้ามาเผยแพร่ในยุโรป นอกจากนี้การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ยังสัมพันธ์กับนโยบายเจริญพันธุ์ของชาวอารยันด้วย (reproductive policies) การสูบบุหรี่ส่งพิษร้ายระดับยีนที่จะทำให้เชื้อสายอารยันที่บริสุทธิ์ต้องมีอันแปดเปื้อน การสูบบุหรี่ของมารดาขณะตั้งครรภ์จะส่งผลให้เด็กในครรภ์มีปัญหาสุขภาพ ความชั่วร้ายของการสูบบุหรี่ร้ายแรงพอๆกับการเกิดมาแล้วพิการในสังคมเยอรมันสมัยนั้นทีเดียว
อ้างอิง:
1. http://www.who.int/tobacco/mpower/mpower_report_prevalence_data_2008.pdf
- 17 views