เผยแพร่ครั้งแรก นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันที่ 30 มีนาคม 2555
วันที่ 1 เมษายน 2555 รัฐบาลกำลังจะเริ่มต้นการโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคน” ทำให้ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพใดๆ สามารถเข้าถึงการรักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินได้อย่างเท่าเทียมกัน เรื่องนี้นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งในระบบสุขภาพของประเทศไทย หลังจากการมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เมื่อ 10 ปีก่อน และถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการไปสู่ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว ที่ทำให้คนไทยที่มีสิทธิการรักษาพยาบาลแตกต่างกันได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม บทความนี้จะนำเสนอรายละเอียดของเรื่องนี้ ใน 4 ประเด็นดังนี้
ประการที่ 1 ความเหลื่อมล้ำในระบบเจ็บป่วยฉุกเฉิน แต่ละกองทุนมีการบริหารจัดการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่แตกต่างกัน จึงความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาล โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกันดังนี้
ตารางที่ 1 ความแตกต่างด้านการแพทย์ฉุกเฉินของ 3 ระบบ ก่อน 1 เมษายน 2555
ระบบ |
สวัสดิการข้าราชการ |
ประกันสังคม |
บัตรทอง |
จำนวนผู้มีสิทธิ (ล้านคน) |
4.9 |
9.9 |
47.7 |
ค่าใช้จ่าย/คน/ปี (บาท) |
12,600 |
2,050 |
2,546 |
ที่มาของงบประมาณ |
รัฐบาล |
ผู้ประกันตน นายจ้าง รัฐบาล |
รัฐบาล |
การเกิดสิทธิ |
ทันทีที่เป็นข้าราชการ |
ต้องจ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 3 เดือน ใน 15 เดือน |
ทันทีที่ลงทะเบียน |
การสิ้นสุดของสิทธิ |
ไม่ได้เป็นข้าราชการ |
ขาดส่งเงินสมทบ > 3 เดือน |
ได้สิทธิอื่น |
เงื่อนไข |
ไม่จำกัด |
จำกัด 72 ชั่วโมง จากนั้นส่งกลับร.พ.ต้นสังกัด |
ไม่จำกัด |
หน่วยบริการ |
ร.พ.รัฐทั่วประเทศ เท่านั้น |
ทั้งรัฐและเอกชนไม่จำกัด |
ทั้งรัฐและเอกชนในเครือข่าย |
การสำรองจ่าย (ร.พ.ในเครือข่าย) |
ไม่ต้อง |
สำรองจ่ายก่อน |
ไม่ต้อง |
การสำรองจ่าย (ร.พ.นอกเครือข่าย) |
สำรองจ่ายก่อน |
สำรองจ่ายก่อน |
ไม่ต้อง |
ตัวอย่างอัตราจ่ายร.พ.นอกเครือข่าย
|
|
หมายเหตุ อัตราสำหรับจ่ายร.พ.เอกชน |
|
ประการที่ 2 ดีขึ้นและเท่าเทียม จากระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว หลังจากที่รัฐบาลประกาศนโยบายนี้แล้ว ผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินทุกคน จะได้รับการดูแลดีขึ้นทุกสิทธิ อย่างเท่าเทียม โดยสามารถไปรับบริการที่ใดก็ได้ ไม่ว่าของรัฐบาลหรือเอกชน โดยไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน อีกทั้งเมื่อเลย 72 ชั่วโมงก็ไม่ต้องส่งตัวกลับโรงพยาบาลต้นสังกัด โดย สปสช.จะเป็นผู้ตามจ่ายให้กับโรงพยาบาลก่อน ในอัตราผู้ป่วยในตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม RW = 10,500 บาท จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยฉุกเฉินทุกคนได้รับสิทธิการรักษาที่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้แต่ข้าราชการซึ่งเดิมไม่สามารถไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนได้ ต่อไปก็จะสามารถไปรับบริการได้ ส่วนผู้ประกันตน ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน และไม่ต้องถูกส่งตัวกลับโรงพยาบาลต้นสังกัดหากรับการรักษาเกิน 72 ชั่วโมง เป็นต้น
ประการที่ 3 ยังไม่ทั่วถึงทุกคน จากนโยบายที่บอกว่า “เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคน” แต่วันนี้ยังมีอีกหลายกลุ่มที่นโยบายนี้ยังไม่ครอบคลุม ได้แก่ บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิกว่า 450,000 คน ที่ดูแลโดยกระทรวงสาธารณสุข, พนักงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ข้าราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และครูเอกชน เป็นต้น จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องนำกลุ่มคนที่เหลือเหล่านี้เข้าสู่นโยบายดังกล่าว ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าโครงการนี้ทั่วถึงทุกคน และยังมีคำถามที่สำคัญต่อไปอีกว่า เมื่อเราเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asian Economics Community) ในปี 2558 กลุ่มแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่จ่ายสมทบค่ารักษาพยาบาลอย่างถูกต้องตามระบบประกันสังคม ควรจะเข้าสู่ระบบนี้เช่นกันหรือไม่
ประการที่ 4 สิ่งท้าทายต่อไป ยังมีหลายประเด็นที่ควรปรับปรุงเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมๆกับคุณภาพ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เป็นการใช้เตียงที่มีเหลือในภาคเอกชนให้เป็นประโยชน์ และลดภาระของภาครัฐ ได้แก่ 1) ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียวสำหรับ มะเร็ง เอดส์ ไต หัวใจ หลอดเลือด โรคค่าใช้จ่ายสูงต่างๆ ที่มีระบบบริหารจัดการเฉพาะ และยาราคาแพง, 2) การเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ในภาครัฐ และจำนวนเตียง (supply side) ให้เพียงพอกับปริมาณคนไข้ที่เข้าถึงบริการมากขึ้น เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้พัฒนาด้านหลักประกันสุขภาพ (demand side) ให้คนไข้สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น แต่ทว่ายังไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการเพิ่มกำลังคนและจำนวนเตียงในโรงพยาบาลให้เพียงพอแต่อย่างใด ลำพังทำแต่ด้านหลักประกันสุขภาพให้ดีก็ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพได้ เพราะอัตรากำลังและจำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ และ 3) รัฐบาลต้องไม่ลืมคือ ผู้ประกันตนอีก 10 ล้าน ที่ยังเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินสมทบค่ารักษาพยาบาล ในเมื่อทุกอย่างเหมือนกัน มาตรฐานเดียวกัน ทำไมยังเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่าย
- 21 views