บทความนี้แปลจาก PhRMA's Seven Deadly Lies about Thai Compulsory Licenses ซึ่งเขียนโดย Brook K. Baker, Health GAP (วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2007)
ตั้งแต่ประเทศไทยเดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าโลกและใช้บทบัญญัติตามกฎหมายสิทธิบัตรของประเทศที่จะใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาโรคเอดส์และหลอดเลือด 3 รายการ ผู้แทนกลุ่มบรรษัทยาข้ามชาติได้มีการให้ข้อมูลที่ทำให้สังคมเกิดความสับสน และอาจหลงเชื่ออย่างผิดๆ ได้ ดังมุสาเจ็ดประการ และข้อโต้แย้งต่อไปนี้
การโกหก 2 ประการแรก : ผู้แทนกลุ่มบริษัทยาข้ามชาติ ซึ่งเป็นคนไทย กล่าวว่า "เราไม่เห็นว่าการใช้สิทธิดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย หรือเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนไข้"
ความจริง การใช้สิทธิผลิตของไทยถูกกฎหมายในทุกแง่มุม (1) เป็นการสอดคล้องกับข้อตกลงการค้าโลกตาม บทบัญญัติ 31 (b) สิทธิเหนือสิทธิบัตรที่ดำเนินการอยู่บนเหตุผลด้านสาธารณสุข เป็นการดำเนินการโดยรัฐ และไม่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์การค้าดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องเจรจาล่วงหน้ากับเจ้าของสิทธิบัตร (2) สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิบัตรของประเทศไทยที่ให้รัฐบาลมีอำนาจโดยชอบที่จะดำเนินการในสิทธิโดยไม่เป็นไปเพื่อการค้าและไม่ต้องเจรจาล่วงหน้าก่อน (3) ได้มีการกำหนดการจ่ายค่าตอบแทนให้ร้อยละ 0.5 ของราคาขายไว้แล้ว
ความจริงประการที่ 2 การใช้สิทธิดังกล่าวเป็นความต้องการทั้งของผู้ป่วยและรัฐบาลไทย บริษัทเจ้าของยาต้านไวรัสปฏิเสธที่จะลดราคายาให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานของรายได้ คือต่ำกว่า 77,000~80,000 บาท ต่อคนไข้ต่อปี ทั้งที่มีการณรงค์เรียกร้องของคนไข้เอดส์อย่างจริงจัง หลายครั้ง ไม่เพียงคนไข้และรัฐบาลไทยจะได้มียาไว้ใช้หรือให้บริการในราคาที่ต่ำกว่าครึ่งของราคายาของบริษัทที่เคยเสนอไว้ล่าสุด แต่ราคายาดังกล่าวที่ถูกลงจะทำให้เกิดการขยายความต้องการของผู้ใช้ยาที่มากพอจนถึงระดับเหมาะสมกับขนาดการผลิตของบริษัทยาของประเทศอินเดีย และบริษัทผลิตยาของไทย
การโกหกประการที่สาม : โดยผู้แทนบรรษัทข้ามชาติคนเดิม กล่าวว่า บรรษัทยาข้ามชาติได้ทำการวิจัยยาถึง 10 ปี แต่รัฐบาลไทยได้บังคับการใช้สิทธิ ถือเป็นการแย่งสิทธิ แย่งทรัพย์สินของบริษัทไป
ความจริง สิทธิบัตรมิใช่ทรัพย์สินหรือสมบัติในความหมายทั่วไป แต่รัฐให้สิทธิพิเศษต่อผู้ผลิตก็เพื่อความสมดุลระหว่างเจ้าของสิทธิบัตรกับสาธารณะ อย่างไรก็ตาม การให้สิทธิดังกล่าวของรัฐบาลเป็นไปตามเจตนารมณ์และเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งรวมถึงเงื่อนไขให้มีการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรได้รัฐบาลในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาได้ใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรนับพันๆ ครั้ง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ซึ่งรวมถึงการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยได้บัญญัติเรื่องการใช้สิทธิไว้ในกฎหมายสิทธิบัตรอย่างชัดเจนและบริษัทยาทุกบริษัทก็ได้รู้ถึงมาตรการดังกล่าวนับตั้งแต่ได้ขออนุญาติเอาประโยชน์จากสิทธิบัตรในประเทศไทย
"จะเป็นไปได้อย่างไรที่การอนุญาติให้เอาประโยชน์จากสิทธิบัตรโดยรัฐ ได้กลายเป็นสิทธิสมบูรณ์ที่ขัดขวางการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรที่มีการบัญญัติไว้ในกฎหมาย?"
การโกหกประการที่สี่ : ผู้แทนบรรษัทยาข้ามชาติ คนเดียวกัน กล่าวว่า "ทุกเรื่องสามารถเจรจากันได้"
ความจริง สำหรับบริษัทยาที่ดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดแล้วทุกอย่างไม่เคยตกลงได้ด้วยการเจรจา บริษัทยาแห่งหนึ่งได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนกว่า 6 เดือนที่แล้วที่จะยืนราคา 77,000~80,000 บาท ต่อคนไข้ต่อปี จะมีการลดราคาลงได้ก็คือ ประเทศบราซิลที่ประกาศว่าจะมีการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร แย่ไปกว่านั้นหากบริษัทยอมลดราคาลงมา บริษัทก็จะขอให้มีการสัญญาว่ารัฐของประเทศนั้นๆ จะต้องล้มเลิกความคิดในการแสวงหาแหล่งยาราคาถูกให้กับประเทศ โดยความหมายดังกล่าว ความต้องการที่แท้จริงของบริษัทยาข้ามชาติก็คือการหยุดยั้งการแข่งขันของผู้ผลิตยาชื่อสามัญลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ชัดว่าบริษัทยาจะลดราคาลงในประเทศขนาดใหญ่ ที่มีระดับรายได้ปานกลาง (Middle income) หรือประเทศที่ทำตลาดได้ เช่น ไทย บราซิล แต่จะไม่ยินยอมลดราคาให้กับประเทศที่มีขนาดเล็กและยากจน เช่น ประเทศกัวเตมาลา
การโกหกประการที่ห้าและหก : นายฮาวี เบล ผู้แทนสหพันธ์ผู้ผลิตยาข้ามชาติ กล่าวว่า "การใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรจะเป็นช่องทางให้เกิดการทำธุรกิจแบบไม่ถูกต้อง และจะก่อให้เกิดความเสี่ยงกับผู้ป่วย" บริษัทยาที่ได้ถูกบังคับใช้สิทธิต่างกล่าวเสียงเดียวกันว่า การใช้สิทธิดังกล่าวจะเป็นปัญหาด้านคุณภาพยา
ความจริง กลายเป็นว่าการผูกขาดและการทำให้ยามีราคาแพงสุดโต่งมิใช่การค้าแบบไม่ถูกต้อง แต่การสร้างแข่งขันและการทำให้ราคายาถูกลง กลายเป็นการส่งเสริมการค้าแบบไม่ถูกต้องกระนั้นหรือ?
ช่างเป็นเรื่องที่ประหลาดเหลือเชื่อเหลือเกิน อุตสาหกรรมยาที่ร่ำรวยมหาศาลจากการวิจัยและพัฒนา ซึ่งครอบครองกว่าร้อยละ 90 ของตลาดยาในโลก กำลังส่งเสียงต่อว่ากับการกระทำของผู้ผลิตยาชื่อสามัญที่ครอบครองตลาดยาในโลกเพียงร้อยละ 10
กล่าวสำหรับคุณภาพยา นายเบล ได้ใช้คำวิจารณ์ซ้ำซากเดิมๆ ที่ว่า ยาสามัญด้อยคุณภาพ เขาละเลยที่จะกล่าวถึงความจริงที่ว่า ยาอีฟาวาเรนซ์-ชื่อสามัญหลายชนิดได้รับการยอมรับมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลกและยาชื่อสามัญสูตรเดียวกับคาเล็ทตราก็กำลังรอการอนุมัติการยอมรับดังกล่าวเช่นเดียวกัน องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติการยอมรับผลิตภัณฑ์ยาต้านไวรัสจำนวนมากมายหลายชนิดของบริษัทยาอินเดียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยาเหล่านี้ที่ผลิต
ในการโกหกประการที่เจ็ด : ด้วยเรื่องราวการโกหกทั้งหมด การใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาจะทำให้เกิดการถดถอยของแรงจูงใจที่จะคิดตัวยาใหม่ๆ บริษัทที่ได้รับการยอมรับมาตรฐานตามแนวทางการผลิตที่ดี (GMP) กว่า 70 แห่งที่ตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย
ความจริง ทั่วทวีปเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นประเทศเดียว และยังรวมไปถึงแอฟริกาครอบครองตลาดยาเพียงร้อยละ 5.1 ของตลาดยาโลก จากข้อมูลของ
INFORMATION MANAGE GROUP แม้ว่าตลาดยา ของประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางและต่ำจะเติบโตเร็วกว่าตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว แต่บริษัทยาข้ามชาติยังคงความกระตือรือร้นทางการตลาดที่จะขยายผลกำไรจากการค้าในตลาดยาขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป และ ญี่ปุ่น ผู้ซึ่งรวมแล้วซื้อยาถึงเกือบร้อยละ 89 ของมูลค่าทั้งหมดที่เป็นตัวเงิน บรรษัทยาข้ามชาติยังอ้างอีกว่าการใช้สิทธิจะไปกระทบกับแรงจูงใจในการวิจัยและพัฒนา แต่กลับไม่ยอมรับว่าการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรไม่มีวันเลยที่จะกระทบต่อสถานการณ์ผูกขาดกำไรในตลาดยาของประเทศร่ำรวย
เป็นเรื่องตลกร้ายที่ตลาดที่มีขนาดเล็กจิ๋วกระจิริดของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจของการวิจัยผลิตยา
นักสื่อสารมวลชนที่ติดตามเรื่องการใช้สิทธิในประเทศไทยควรจะเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังกับการให้ข้อมูลของบรรษัทยาข้ามชาติให้มากขึ้น ทดแทนการที่จะทำหน้าที่เพียงถ่ายทอดข้อความที่เลื่อนลอยของบรรษัทยาข้ามชาติที่กล่าวโจมตีเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิอย่างไม่ถูกต้องและเพื่อความสมดุลเป็นธรรมแล้ว อย่างน้อยที่สุดนักสื่อสารมวลชนควรจะเผยแพร่สาระข่าวสารที่วิพากษ์โต้แย้ง ข้อมูลที่ไม่ตรงความจริงของบรรษัทยาข้ามชาติเหล่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรของประเทศไทยสามารถส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจของการวิจัยผลิตยา
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 27 พ.ค. 55
- 39 views