เครือข่ายภาคประชาชนยื่นหนังสือถึง "ชัชชาติ" แสดงความผิดหวัง หลังผู้ว่าฯกทม.สนับสนุนเปิดสถานบริการตี 4 เพิ่มพื้นที่เสี่ยง   จี้ทบทวนและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด สั่งปิด 5 ปี หรือปิดถาวร หากพบผับบาร์ทำผิดกฎหมาย  พบยาเสพติด ให้เด็กใช้บริการ  หรือค้าประเวณี

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน เครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง ร่วมกับ เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว มูลนิหญิงชายก้าวไกล เครือข่ายองค์กรงดเหล้า ยื่นหนังสือถึงนายชัชชาติ  สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านนโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการ ผับ บาร์ ถึงตี 4 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ผู้ว่าฯรับข้อเสนอพร้อมประสานมหาดไทย

นายชัชชาติ กช่าวว่า วันนี้ทางกลุ่มภาคีเครือข่ายภาคประชาชนและกลุ่มผู้ประสบอุบัติภัยจากปัจจัยเสี่ยง ได้มายื่นข้อเสนอให้กับกรุงเทพมหานคร ว่าไม่เห็นด้วยกับการเปิดผับบาร์ถึงตี 4 เพราะว่ามีอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือไม่เห็นด้วยว่าจะมีผลกระตุ้นต่อเศรษฐกิจ ประเด็นต่อมาเป็นเรื่องของยาเสพติด เรื่องเมาแล้วขับ มีเด็กเยาวชนที่อาจจะเข้าไปในสถานบริการเหล่านี้ อาจจะเกิดผลกระทบต่อชุมชนต่างๆ รวมถึงการนั่งดื่มเกินเวลา การขายแอลกอฮอล์ให้กับกับผู้ที่เมาหมดสภาพแล้ว ซึ่งข้อเสนอเหล่านี้กรุงเทพมหานครจะรับไว้

โดยในประเด็นแรกจะนำไปประสานกับทางมหาดไทยว่าประชาชนมีความรู้สึกอย่างไร มีการประเมินผลต่างๆ ให้รอบคอบ ประเด็นที่ 2 จะดำเนินการควบคู่ไปเลย ไม่ต้องรอ เพราะอาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด กระท่อม กัญชา ทั้งในและนอกสถานบริการ เรื่องการดื่มสุราในสถานบริการจนเกินเวลา เรื่องเมาแล้วขับต่างๆ โดยจะร่วมมือกับทางเครือข่าย ส่วนยาเสพติดจะร่วมมือกับทางชุมชนที่มาในวันนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากยาเสพติด และจะนำผลที่ได้ไปขยายผลกับชุมชนอื่นต่อไป ขอบคุณเครือข่ายที่มาในวันนี้ เป็นการรับฟังความเห็นจากประชาชนในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง จะนำข้อมูลเสนอทางมหาดไทยและจะพิจารณาหาข้อสรุปต่อไป 
 

นางนัยนา  ยลจอหอ  ประธานชุมชนวัดสวัสดิ์วารีศรีมาราม เขตดุสิต กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงออกไปถึง 04.00 น. อ้างว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยมีกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ขานรับกับนโยบายนี้รวมถึงกรุงเทพฯ ทำให้เครือข่ายภาคประชาชนโดยเฉพาะชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และองค์กรภาคีที่ทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังและลดปัญหาสังคม รู้สึกผิดหวังและเสียใจ ที่ผู้ที่เลือกตัวเองมาทำหน้าที่ในการดูแลทุกข์สุขของชาว กทม. กลับมีจุดยืนที่สนับสนุนในการเพิ่มพื้นที่เสี่ยงเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ข้อมูลสถิติก็เห็นได้ชัดว่าในแต่ละปี มีอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้มีผู้บาดเจ็บผู้พิการและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ล่าสุดในปี 2566 มีผู้เสียชีวิตสะสมแล้ว 12,398 ราย บาดเจ็บ 708,703 ราย สาเหตุหลักสำคัญยังคงมาจากการดื่มแล้วขับ ซึ่งแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกหากมีนโยบายขยายเวลากินดื่มในร้านเหล้าผับบาร์ แม้จะเป็นข้อเสนอแค่บางพื้นที่นำร่อง แต่ไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่า จะกันคนนอกพื้นที่เข้าไปในพื้นที่อนุญาตได้ สุดท้ายแล้วการจำกัดแค่บางพื้นที่ก็จะไร้ประโยชน์และทำไม่ได้จริง  และส่วนใหญ่ก็จะมีแต่คนไทยเข้าไปไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว

"เครือข่ายเห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ แต่นโยบายที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ความสงบสุขของประชาชนอย่างการขยายเวลาเมาไปถึงตี 4  ต้องถูกชั่งน้ำหนักให้ดีว่าได้คุ้มกับที่เสียไปหรือไม่ ซึ่งจะเห็นว่าเห็นว่าข้อเสนอนี้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งในและต่างประเทศ  ที่มีความพยายามนำเสนอต่อแทบทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอให้ยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วง 14.00-17.00 น. เสนอให้ขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงรวมไปถึงการขยายเวลาเปิดสถานบริการเป็น 04.00 น.นับเป็นความพยายามที่ถูกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขั้นเป็นตอน ดีงนั้นการที่ผู้ว่าฯ กทม. ขานรับนโยบายนี้จึงทำให้พวกเราผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่กรุงเทพมหานครมีดีมากกว่า การใช้ร้านเหล้าผับบาร์เป็นจุดขาย" นางนัยนา กล่าว

ด้านนายนิวัฒน์  ทองประเสริฐ ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง กทม. กล่าวว่า หลายปีก่อนตนเองสูญเสียพ่อจากคนเมาแล้วขับมาชนตอนเวลาตี 3 ทั้งที่พอก็ประกอบอาชีพขายอาหารอยู่ตามปกติ  ตนจึงเข้าใจได้ดีถึงความสูญเสียว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน  และหาก กทม. จะมีนโยบายขยายเวลาเปิดผับบาร์ออกไปอีก ก็จะยิ่งเพิ่มคนเมาบนท้องถนน  แล้ว กทม. ต้องใช้กำลังคนเท่าไหร่ในการป้องกันแก้ไขปัญหาจากคนเมาแล้วขับ  ต้องใช้ตำรวจ   เทศกิจ  กู้ภัย  หมอพยาบาลอีกเท่าไหร่  มันไม่คุ้มกันเลย

“ดังนั้นเครือข่ายจึงมีจุดยืนและมีข้อเสนอต่อผุ้ว่าราชการกรุงเทพหมานครดังนี้ 1.ขอแสดงความผิดหวังและเสียใจกับจุดยืนของผู้ว่าฯ กทม.  ที่สนับสนุนการขยายเวลาเปิดผับบาร์ถึง 04.00 น. และขอคัดค้านการขยายเวลาดังกล่าวในพื้นที่กรุงเทพฯ  เพราะสี่ยงเพิ่มอุบัติเหตุ ทะเลาะวิวาท คุกคามทางเพศ ปัญหาสุขภาพ กระทบกับการใช้ชีวิตของคนทำมาหากินในช่วงเวลาดังกล่าว 2. กรุงเทพฯ ไม่ควรใช้การท่องเที่ยวผับบาร์ กินดื่มมาเป็นจุดขาย แต่ควรมุ่งให้ความสำคัญกับการสร้างความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว และประชาชนทุกกลุ่ม 3. ขอให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จริงจัง กับสถานบริการและสถานประกอบการที่คล้านสถานบริการทุกแห่ง ที่ทำผิดกฎหมาย  มียาเสพติด  ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็ก   ให้เด็กเข้าใช้บริการ  พบการพนัน ค้ามนุษย์ หรือเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยนำคำสั่ง คสช. 22/2558 มาบังคับใช้อย่างจริงจังเพื่อสั่งปิด 5 ปี หากอยู่นอกเขตโซนนิ่ง หรือปิดถาวรหากอยู่ในเขตโซนนิ่งใกล้สถานศึกษา  และขอให้มีการเปิดพื้นที่รับแจ้งเหตุเป็นการเฉพาะ