ภาวะอุจจาระตกค้าง
ทำความรู้จัก ภาวะอุจจาระตกค้าง หากเกิดอาการ กินมากไม่ถ่าย ท้องอืดแน่นจนปวด ปวดหลังส่วนล่าง หายใจไม่สะดวก ปวดหลังส่วนล่าง หายใจไม่สะดวก
จากโพสต์ข้อความบนโลกออนไลน์ ระบุว่า กินมากแต่ไม่ถ่าย ท้องแข็งเป็นลำ ไม่ตดนอนไม่หลับอึดอัดแน่น ลมในท้องจะเข้าแทรกดันไตกะบังลมให้ปวดออกหลัง ปล่อยไว้ปอดหัวใจทำงานผิดปกติ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมตรวจสอบกับสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง
สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุถึงกรณีกินมากแต่ร่างกายไม่ถ่ายออกมา เรียกว่า ภาวะอุจจาระตกค้าง สำหรับภาวะอุจจาระตกค้าง จะมีหลายอาการประกอบกันดังนี้
- ปวดท้อง
- ท้องอืด แน่นท้อง ไม่สบายท้อง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีเลือดปนอุจจาระเนื่องจากริดสีดวง
- รับประทานอาหารได้น้อย เบื่ออาหาร
- เรอเปรี้ยว ผายลมบ่อย
- ปัสสาวะบ่อยจากการที่กระเพาะปัสสาวะถูกกดทับ
- ปวดหลังส่วนล่าง หายใจไม่สะดวก เพราะอุจจาระและลมในช่องท้องมากจนไปดันกะบังลม
ส่วนข้อมูลที่ว่า กินมากแต่ไม่ถ่ายปล่อยไว้ปอดหัวใจทำงานผิดปกตินั้น ภาวะอุจจาระตกค้าง ไม่มีผลต่อการทำงานของปอดและหัวใจ
วิธีป้องกัน ภาวะอุจจาระตกค้าง
สำหรับการป้องกัน ภาวะอุจจาระตกค้าง สามารถฝึกได้ ทำได้ไม่ยาก เช่น
- ฝึกขับถ่าย ต้องฝึกให้เป็นเวลาทุกวัน
- ฝึกเบ่งถ่ายอุจจาระ หลายคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ร่างกายต้องเบ่งถ่ายอุจจาระให้ถูกวิธี ซึ่งทำได้โดยนั่งบนโถชักโครก โค้งตัวไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย ใช้มือกดท้องด้านซ้ายล่างเอาไว้ วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นลำไส้เคลื่อนตัวได้ดี แต่การฝึกขับถ่าย ร่างกายต้องผ่อนคลาย ไม่ควรเกร็ง
- ไม่กลั้นอุจจาระ ควรหาห้องน้ำและขับถ่ายทันทีที่ปวด การพยายามเบ่งอุจจาระตอนที่ยังไม่ปวดท้อง การเบ่งอุจจาระแรงจะเพิ่มแรงดันในลำไส้ เมื่อทำบ่อย ๆ ลำไส้โป่งพอง อาจเกิดริดสีดวงทวาร
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยเรื่องระบบขับถ่าย แนะนำให้ดื่มน้ำ 8-10 แก้วต่อวัน โดยจิบระหว่างวัน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกผัก ผลไม้ ที่มีกากใยสูง เพราะไฟเบอร์มีประโยชน์ต่อการขับถ่าย ช่วยลด ภาวะอุจจาระตกค้าง ได้
- เสริมด้วยอาหารกลุ่มโปรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว แต่ควรเลือกชนิดที่มีน้ำตาลน้อย
- ออกกำลังกาย นอกจากจะได้ความแข็งแรงของร่างกายแล้ว ยังช่วยให้ลำไส้ได้บีบตัว กระเพาะอาหารย่อยดีขึ้น
อาการท้องผูก แตกต่างจาก ภาวะอุจจาระตกค้าง
นอกจาก ภาวะอุจจาระตกค้าง อาการท้องผูกก็มีลักษณะอาการที่ใกล้เคียง และต้องคอยระมัดระวังไม่ให้เกิด สำหรับอาการท้องผูกนั้นพบได้บ่อย เมื่อลำไส้บีบตัว หรือแม้แต่เคลื่อนตัวช้าตอนที่ย่อยอาหาร จนไม่อาจขับถ่ายอุจจาระออกจากระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ อธิบายถึงลักษณะอาการว่า สัญญาณเตือน ได้แก่
- การถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือการขับถ่ายนั้นน้อยกว่าที่เคยเป็น
- อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง เป็นเม็ดเล็ก
- รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่ออก ถ่ายอุจจาระได้ไม่สุด
- ถ่ายอุจจาระออกยาก ต้องใช้แรงเบ่ง
- มีอาการเจ็บขณะถ่ายอุจจาระ
- อาจพบอาการท้องอืด ปวดท้อง หรือปวดเกร็งบริเวณหน้าท้อง
หากพบว่ามีลักษณะอาการที่กล่าวมาข้างต้นเป็นระยะเวลานาน หรือเกิดติดต่อกัน 3 เดือน จากแค่อาการท้องผูกธรรมดาจะกลายเป็นท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งอาการท้องผูกเรื้อรังจะรุนแรงมากจนเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โรคริดสีดวงทวาร เกิดแผลแตกรอบ ๆ ทวารหนัก และเกิดอาการลำไส้อุดตัน
สาเหตุท้องผูก
- อั้นอุจจาระบ่อย อั้นอุจจาระเป็นเวลานาน
- ไม่รับประทานอาหารที่มีกากใย หรือรับประทานอาหารที่มีเส้นใยไม่เพียงพอ
- ไม่ค่อยออกกำลังกาย
- การรับประทานยาบางชนิดก็มีผลให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน เช่น ยาระงับปวด ยาลดกรด ยารักษาความดันโลหิตสูงบางชนิด ยาบำรุงที่มีธาตุเหล็ก ยาขับปัสสาวะ
- ดื่มน้ำน้อย
- น้ำหนักตัวมากหรือน้อยเกินไป
- ปัญหาความเครียด มีปัญหาทางด้านจิตใจ
อาการท้องผูกป้องกันได้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและรับประทานอาหาร เช่น การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง โดยเฉพาะผัก ผลไม้และธัญพืช
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 – 10 แก้วต่อวัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ขับถ่ายให้เป็นเวลาในแต่ละวัน
- ไม่ควรใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นเวลานาน
หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะให้การรักษาด้วยการใช้ยาแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น เส้นใยหรือไฟเบอร์ มีสารที่มีคุณสมบัติในการดูดน้ำได้ดี อุจจาระนิ่ม ถ่ายออกได้ง่าย ยาระบายกลุ่มกระตุ้น กระตุ้นจังหวะการบีบตัวของลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ยาระบายกลุ่มออสโมซิส ช่วยออกฤทธิ์ดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ลำไส้ใหญ่มากขึ้น อุจจาระจึงไม่แห้งและแข็ง ลดปัญหาการขับถ่ายออกลำบาก ยาช่วยหล่อลื่นอุจจาระ ยาเหน็บ และการสวนอุจจาระ
สำหรับอาการอื่น ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ให้วินิจฉัย เข้ารับรักษาอย่างถูกต้อง โดยมีสัญญาณเตือน อาทิ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระก้อนเล็กลง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ และอ่อนเพลีย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ความจริงของ "โรคริดสีดวงทวาร" พฤติกรรมเสี่ยงและวิธีป้องกัน
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 68297 views