รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ. เผยทิศทางนักบริหารสาธารณสุขจากนี้ต้องปฏิรูปองค์กร เน้นซื่อสัตย์ ไม่ทุจริตคอรัปชัน การมาของตำแหน่งต้องโปร่งใส  พร้อมย้ำนโยบายให้ ผอ.รพ. อย่าทำสัญญาผู้รับเหมาทิ้งงาน เหตุกฎหมายบังคับไม่ได้ แต่ขอผู้อำนวยการไม่ทำสัญญาร่วมคนทิ้งงาน ล่าสุดตรวจสอบไม่มีผอ.คนไหนขัดนโยบาย

 

เมื่อวันที่  18  มกราคม 2566   ที่โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น โฮเทล นนทบุรี  นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมช.สธ.)  เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการสมาคมนักบริหารสาธารณสุข ปี 2566 “Health Tech for Smart Living นวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพเพื่อชีวิตดีดี” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 มกราคม 2566 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลทางการแพทย์ สามารถนำไปพัฒนางานสาธารณสุขของประเทศไทยให้มีศักยภาพ   โดยมี นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขและนายกสมาคมนักบริหารสาธารณสุข  พร้อมด้วยผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวนกว่า 600 คน เข้าร่วมประชุม

นายสาธิต กล่าวว่า ปีใหม่นี้มีความท้าทายเป็นพิเศษสำหรับทุกท่าน จากนี้ต้องเท่าทันกับทุกสถานการณ์ สิ่งสำคัญเป้าหมายต้องชัดเจน คือ เพื่อการบริการประชาชน ทำให้องค์กรมีความสุข นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันในทุกส่วน ไม่ว่าจะเรี่องอะไรในองค์กร อย่างการมาของตำแหน่งก็ต้องโปร่งใส ตอนนี้ประเทศกำลังมีปัญหาในเรื่องความเชื่อมั่นตรงนี้ ผู้ที่จะแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันได้ คือ พวกเราทุกคน  โดยประชาชน ต้องเลือกตั้งคนที่ปราศจากผลประโยชน์ ใครนโยบายดีทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติก็เลือกเข้ามา  อย่างไรก็ตาม  เรื่องนี้ตนได้เรียนนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านให้ความสำคัญ แต่ต้องมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องด้วย

“ขณะนี้ประเทศกำลังเรียกร้องความซื่อสัตย์สุจริต และหลักการธรรมาภิบาล ต้องไม่มีปัญหาเรื่องเรียกรับเงินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง ซึ่งดีใจที่กระทรวงสาธารณสุขไม่มีเรื่องนี้  ดังนั้น เราต้องทำให้ระบบสาธารณสุขได้รับความเชื่อมั่นตรงนี้” นายสาธิต กล่าว และว่า ต้องมีการปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรว่า คนที่จะก้าวหน้าต้องเน้นเนื้องาน ความซื่อสัตย์สุจริต  ไม่ใช่ว่า ใครดูแลเอาใจนายแล้วได้ตำแหน่ง

รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ. กล่าวอีกว่า การบริหารจัดการที่โปร่งใส ยังมีเรื่องกรณีผู้รับเหมาทิ้งงาน ซึ่งตอนที่ตนเข้ารับตำแหน่งแรกๆ มีถึง 3,000-5,000 ราย ต้องบอกยกเลิกสัญญา ขณะนั้นมองว่าควรขึ้นแบคลิสต์กลุ่มบริษัทรับเหมาทิ้งงานเหล่านี้ แต่ด้วยกฎหมายทำไม่ได้ จึงออกเป็นนโยบายว่า หากผู้อำนวยการโรงพยาบาลไหนยังทำสัญญากับบริษัททิ้งงานให้มีการประเมินการทำงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั้นๆ  ซึ่งมีผลต่อความก้าวหน้า ต่อตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ที่ผ่านมาก็ไม่พบผู้อำนวยการรายใดขัดนโยบายดังกล่าว

“จริงๆ เรื่องปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานนั้น  มีความคืบหน้าแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง บางส่วนที่ทิ้งงานได้ผู้รับเหมามาแล้ว และตรวจสอบย้อนหลังบริษัทที่ทิ้งงานก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในชิ้นงานใหม่ของกระทรวงฯ แต่ก็จะตรวจสอบต่อไปว่า มีบริษัททิ้งงานรายใดที่ยังทำสัญญากับรพ. หรือไม่  เพราะกฎหมายห้ามไม่ได้ แต่เชิงนโยบายเราจะทำให้ดีที่สุด” นายสาธิต กล่าว

นายสาธิต กล่าวอีกว่า  นอกจากนี้  กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ำและลดระยะเวลารอคอย ซึ่งนักบริหารการสาธารณสุขจะเป็นผู้ที่ผลักดันทั้งการบริหารและการบริการให้เกิดประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน โดยมีประเด็นขับเคลื่อนที่สำคัญ 3 เรื่อง คือ

1.การกระจายอำนาจ ให้สำนักงานเขตสุขภาพ เกิดความคล่องตัวในการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ซึ่งปีที่ผ่านมีการนำร่องใน 4 เขตสุขภาพ ประสบความสำเร็จอย่างดี ในปีนี้จึงขยายผลให้ครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ และการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถตอบสนองปัญหาและความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนได้ตรงจุด ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบบริการได้อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และเท่าเทียม

 

2. การประสานความร่วมมือกับภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อสร้างพันธมิตรในการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1) การสร้างความร่วมมือเชิงบูรณาการ โดยการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล 2) การสร้างความร่วมมือทางเทคโนโลยี เพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้สะดวก รวดเร็ว มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

3. การสร้างความร่วมมือด้านการลงทุน เช่น การร่วมทุนในรูปแบบ PPP ในการสร้างโรงพยาบาลปลวกแดง 2 เพื่อลดการเดินทางของผู้ป่วยในพื้นที่ ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีมาตรฐานในราคาที่เหมาะสม สะดวก รวดเร็ว เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และ 3.ระบบดิจิทัลสุขภาพ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำกรอบการพัฒนาใน 5 ประเด็น ได้แก่ 1) การพัฒนา AI และ IoMT ในการดูแลสุขภาพประชาชน 2) การพัฒนาระบบฐานข้อมูล Big Data เพื่อการประมวลผล การวิเคราะห์ และการทำนาย/การพยากรณ์โรคมากยิ่งขึ้น 3) การประยุกต์ใช้ระบบ Cloud เพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานอย่างไร้รอยต่อ และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ 4) Digital Health Platform โดยพัฒนาและใช้ระบบ Telemedicine ในการดูแลรักษาผู้ป่วย การใช้เทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นในการดูแลสุขภาพประชาชน เช่น ระบบหมอพร้อม 5) การพัฒนาข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Record) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้ และมีความปลอดภัย

 

“ปัจจัยสำคัญของการขับเคลื่อนงานสาธารณสุข คือ ผู้นำ จะต้องมีทักษะในการใช้เทคโนโลยี สามารถเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า หากผิดพลาด ต้องพยายามหาวิธีการที่จะพัฒนาต่อไป พร้อมเรียนรู้ทำความเข้าใจผู้อื่น มีทักษะการสื่อสาร ส่งเสริมให้กำลังใจทีม รวมถึงต้องใส่ใจสุขภาพทั้งของตนเองและคนในทีม เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข” นายสาธิตกล่าว