กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เตือนอันตรายจากการฉีดสาร หรือฝังวัสดุแปลกปลอมเพื่อขยายขนาดอวัยวะเพศ สุ่มเสี่ยงเกิดอันตรายจากการอักเสบ ติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ซ้ำบางรายลุกลามจนเกิดเป็นมะเร็งต้องตัดอวัยวะเพศทิ้ง

นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากกรณี กรม สบส. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าจับกุมหมอเถื่อนซึ่งลักลอบให้บริการฉีดสารแปลกปลอม และฝังวัสดุแปลกปลอม จนผู้รับบริการได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะ และไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้  ซึ่งในกรณีข้างต้น กรม สบส. ต้องชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า จากการจับกุมผู้กระทำผิดในลักษณะดังกล่าว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น พบว่าผู้ให้บริการฉีดสารแปลกปลอม หรือฝังวัสดุแปลกปลอม ทุกรายมิใช่แพทย์ ซึ่งมักจะมีการใช้สารแปลกปลอมที่ไม่ผ่านการรับรองทางการแพทย์  อาทิ น้ำมันพืช น้ำมันมะกอก หรือซิลิโคนที่ใช้ในอุตสาหกรรม ฯลฯ มาฉีดใต้ผิวหนังของอวัยวะเพศ  ส่งผลให้ให้เกิดอาการอักเสบเรื้อรัง บวมแดง หมดความยืดหยุ่นเกิดการดึงรั้งอวัยวะเพศ จนไม่สามารถปัสสาวะ หรือมีเพศสัมพันธ์ได้ อีกทั้ง มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการติดเชื้อเป็นหนองและติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV) ไวรัสตับอักเสบจากอุปกรณ์ที่ขาดความสะอาด หรือเกิดการอักเสบลุกลามเป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศจนต้องตัดอวัยวะเพศทิ้ง

ด้าน นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า ผู้ที่ลักลอบประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือหมอเถื่อน  จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากประชาชนทราบเบาะแสการกระทำผิดของหมอเถื่อน หรือหมอเถื่อน ในพื้นที่กรุงเทพฯ ก็สามารถร่วมเป็นหู เป็นตาในการคุ้มครองผู้บริโภค และนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนกรม สบส. 1426 หรือทางหมายเลขโทรศัพท์ 02 193 7000 แต่หากอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดก็สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ ในวันและเวลาราชการ 

 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org