มสช.จับมือ CAMH จัดเสวนาโต๊ะกลมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ 17 ปี ปลดล็อคใช้ กัญชาในแคนาดา สู่กลไกและมาตรการที่ต้องมีในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงฯ ของไทย พบแม้ใช้กรอบ แนวคิดสาธารณสุขคุมเป็นหลักแต่กลับใช้กัญชาเพิ่มขึ้นถึง 25% ฟากแพทย์-นักวิชาการไทยกังวล หนัก เหตุร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ฉบับ อย. หละหลวมละเลยหลายจุด เอื้อกัญชาเสรี-ใช้นันทนาการ ประชาชนทราบรายละเอียดน้อย วอนรัฐชะลอผลักดันเป็นกฎหมายประกาศใช้

วันนี้ 1 มีนาคม 2565  มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ร่วมกับ ศูนย์การติดยาเสพติดและ สุขภาพจิต ประเทศแคนาดา (Center for Addiction and Mental Health : CAMH) จัดงานเสวนาโต๊ะกลม "ร่วมมองบทเรียนจากแคนาดา สู่กลไกและมาตรการที่ต้องมีในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง" เพื่อสร้างความตระหนัก และเรียกร้องให้สังคมสนใจข้อกำหนด ตัวบทกฎหมาย ในร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ. ... ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำลังทำประชาพิจารณ์ว่าเหมาะสมกับสังคมไทย

ประโยชน์ตกกับทุกฝ่าย มาตรการป้องกันติดตามการใช้ พ.ร.บ.เข้มงวดพอหรือไม่ ก่อนที่จะผลักดันเป็น กฎหมายและประกาศใช้ โดยมี นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธาน มสช. เป็นประธานในที่ประชุม พร้อมด้วย ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ศ.ดร.เจอเกน เรห์ม รศ.นพ.สุริยเคว ทรีปาตี และกลุ่มแพทย์ นักวิจัย นักวิชาการ รวมถึงเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ได้รับผลกระทบ จากร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. … และสื่อมวลชนให้ ความสนใจเข้าร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุม 1 มสช. และทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน ZOOM

นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธาน มสช. กล่าวถึงเหตุผลที่จัดงานเสวนาฯ ในครั้งนี้ว่า นโยบาย สาธารณะที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขเป็นเรื่องสำคัญและกระทบผู้คนจำนวนมาก ทุกคนจึงในสังคมจึงอยากมี ส่วนร่วม และเมื่อมีความเห็นต่างเกิดขึ้นการใช้พื้นฐานความรู้และหาข้อสรุปร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเฉพาะ นโยบายเกี่ยวกับกัญชาซึ่ง มสช.เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายมีความซับซ้อนในหลายแง่มุม

จึงควรศึกษาให้ถ่องแท้ โดยเฉพาะในประเด็นที่ไม่พึงประสงค์ ผลกระทบทางลบ มาตรการมาควบคุมดูแล ซึ่งการแลกเปลี่ยน ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับบทเรียนจากแคนาดากรณีนโยบายกัญชาทางการแพทย์และกัญชาเพื่อความบันเทิง จะเป็น ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ และนำไปสู่กลไกและมาตรการที่ต้องมีในร่าง

โดย ศ.ดร.เจอเกน เรห์ม (Prof.Dr.Jurgen Rehm) จาก CAMH ให้ข้อมูลถึงบทเรียนของประเทศ แคนาดา ที่เปลี่ยนผ่านนโยบายกัญชาทางการแพทย์ไปสู่กัญชาเพื่อความบันเทิงว่า แคนาดามีประสบการณ์ กัญชาทางการแพทย์มาอย่างยาวนานถึง 17 ปี ก่อนจะเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศรายได้สูงที่ปลดล็อค ให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการได้นั้น การใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ในประเทศได้กำหนดใช้กับโรค หรืออาการที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าใช้กัญชาแล้วได้ผล เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กัญชาที่จะทำให้โรคหรืออาการ เหล่านั้นแย่ลงไปอีก

ส่วนกรณีอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการ รัฐบาลใช้กรอบแนวคิดทางด้านสาธารณสุขมาควบคุม การใช้กัญชาในทางที่ผิด มากกว่าที่จะปล่อยให้ใช้กัญชาได้อย่างอิสระเสรี แม้มีความเชื่อว่าการปลดให้ใช้ กัญชาได้เสรีอย่างถูกกฎหมาย จะช่วยให้รัฐสามารถควบคุมระดับ THC ในผลิตภัณฑ์กัญชาต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยให้สามารถบังคับใช้มาตรการควบคุมอายุขั้นต่ำ ของผู้ที่สามารถซื้อกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายได้ดี ยิ่งขึ้นก็ตาม นั่นเพราะแคนาดามีประชาชนใช้กัญชาทั้งทางการแพทย์และเสพติดอยู่ราว 4 แสนคน จาก ประชากร 35 ล้านคน

โดยเปอร์เซ็นต์ประชาชนที่ใช้กัญชาเพิ่มมากขึ้นทุกปี ปัจจุบันคิดเป็น 25% ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้จะมีผู้ขอเข้ารับการบำบัดปีละ 75,000-100,000 คน กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐ ต้องสูญเสีย นอกจากนี้ปัญหาจากกัญชาไม่ใช่แค่ป่วย แต่คือการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และการอุบัติเหตุ

“รัฐจะต้องกำหนดมาตรการ ที่สามารถลดความเสี่ยงการใช้กัญชาในทางที่ผิดในกฎหมายเป็นลาย ลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน และต้องบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้อย่างจริงจัง ซึ่งอย่างน้อยมาตรการควบคุมควร จะต้องครอบคลุมมาตรการตรวจหาสาร THC ในผลิตภัณฑ์ผสมกัญชาต่าง ๆ และการตรวจบัตรแสดง อายุของผู้ซื้อ” ศ.ดร.เยอร์เกน ระบุ

ขณะที่ ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล เครือข่ายนักวิชาการด้านการเฝ้าระวังด้านนโยบาย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มสช. ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อวิเคราะห์สาระสำคัญในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ฉบับประชาพิจารณ์โดย อย. เปรียบเทียบกับมาตรการในประเทศแคนาดาที่นับเป็นประเทศที่ 2 ที่อนุญาต ให้สูบได้แบบถูกกฎหมายแต่ยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดนั้น พบว่ามีความหละหลวม ละเลย ในหลายจุด เช่น ไม่มีข้อจำกัดในการครอบครอง

ในขณะที่แคนาดาให้ครอบครองกัญชาแห้งได้ไม่เกิน 30 กรัมต่อคน ส่วนการ ปลูกต้นกัญชาไว้ใช้ในครัวเรือนนั้นอนุญาตให้ปลูกได้บ้านละ 4 ต้น และต้องมีระบบติดตามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง เข้าไปในเขตบ้านที่ปลูกกัญชา และต้องปลูกในบริเวณที่ไม่เห็นจากบริเวณพื้นที่สาธารณะ เช่น ถนน หรือสวน สาธารณะ แต่ในร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ของไทยโดย อ.ย.ไม่มีระบุไว้ แม้แต่ระดับสาร THC ก็ไม่มีระบุไว้ และอ้างว่าจะไประบุในกฎหมายลูก แต่ที่แคนาดาเรื่องซีเรียสเขาจะระบุในกฎหมายหลักไว้เลย

หรือแม้แต่ เรื่องการโฆษณา ในแคนาดาการโฆษณาเกี่ยวกับกัญชาต้องได้รับอนุญาต และห้ามใช้ดารา การ์ตูน หรืออะไรที่ดึงดูดความสนใจของเด็กและเยาวชนให้มาทดลอง แต่ของไทยกลับเขียนระบุไว้กว้าง ๆ ว่าถ้าต้องการโฆษณากัญชาต้องขออนุญาต ยกเว้นการโฆษณาชิ้นส่วนของกัญชาที่รัฐมนตรีกระทรวง สาธารณสุขยกเว้นให้

ซึ่งตนมองว่าเป็นร่างกฎหมายที่ประหลาดเขียนเอื้อให้กำหนดความเข้มข้นทีหลัง ทั้งที่ควร ตั้งค่าความเข้มข้นในระดับมาตรฐานไว้ก่อน ในแคนาดายังมีการทำแสตมป์เก็บภาษีกัญชาหากปลูกเชิง เศรษฐกิจเพื่อเอารายได้เข้ารัฐ และยังเป็นการควบคุมไม่ให้มีบริโภคกัญชามากเกินไปในอีกทางหนึ่ง เป็นต้น

ยังตั้งข้อสังเกตถึงการเปิดเสรีกัญชาของประเทศไทย ที่ถูกปูมาให้เข้าใจว่าเป็นกัญชาทางการแพทย์ มาตลอด แต่วันนี้เริ่มพิสูจน์ให้เห็นชัดว่าทิศทางกัญชาไทยมุ่งเน้นผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยไม่ คำนึงถึงโอกาสที่จะมีการใช้กัญชาในเชิงนันทนาการด้วย และการปลดชื่อกัญชา กัญชง ออกจากชื่อยาเสพติด ให้โทษประเภทที่ 5 เหลือเพียงสารสกัดที่ได้จากพืชกัญชา กัญชง ที่มีปริมาณสาร THC เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก ให้ถือเป็นยาเสพติดให้โทษ ข้อกำหนดตรงนี้ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง และส่งผลให้เกิดการใช้ในทางที่ผิด จำนวนมาก

ดร.นพ.บัณฑิต บอกด้วยว่า หากต้องการส่งเสริมการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ควรปลดล็อคแค่สารสกัดที่ได้จากพืชกัญชา กัญชง ที่มีปริมาณสาร THC ต่ำกว่า 0.2% โดยน้ำหนัก ให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย นอกนั้นให้คงไว้ว่าเป็นยาเสพติด เพราะความจริงแล้วคนที่ติดกัญชานั้นติดสาร THC ที่มีอยู่มากในช่อดอก มาตรการควบคุมไม่ให้ประชาชนและเยาวชนเก็บช่อดอกมาเสพกรณีปลูกใช้ในครัวเรือน ในทางปฏิบัติจริงก็เป็นไปได้ยาก แม้แต่การตรวจว่ากัญชา ผลิตภัณฑ์จากกัญชา หรือที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม มีค่า THC เกิน 0.2% โดยน้ำหนักหรือไม่ก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน

เพราะต้องส่งแล็บตรวจทั้งหมด อีกทั้งการปลด ชื่อกัญชา กัญชง ออกจาก ยส.5 จะส่งผลต่อประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เชิงเทคนิคในอนาคต ในกรณีที่อ้างว่า ชื่อยาเสพติดที่ไม่ได้ถูกระบุเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในประมวลกฎหมายยาเสพติดให้โทษ จะสามารถปลดล็อคให้ถูกกฎหมายและผลิตได้ เช่น ยาบ้า ซึ่งก็ไม่ได้ถูกระบุไว้ในประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้โทษ ก็จะมีสถานะถูกกฎหมายได้เช่นเดียวกันกับกัญชา

“ที่เรามานั่งเสวนากันในวันนี้เราไม่ได้มาคัดค้านกัญชาทางการแพทย์ แต่เราไม่เห็นด้วยหากจะมาพูด กันแค่ในด้านประโยชน์กัญชาทั้งในแง่การรักษาและเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้บอกถึงข้อเสียที่มีให้ประชาชนรับทราบ อย่างตรงไปตรงมา ขณะที่มาตรการควบคุมก็หละหลวม และหากปล่อยตามกระแสจะเกิดความเสียหายใน อนาคตมาก ส่วนตัวมองว่าการส่งเสริมกัญชาทางการแพทย์ไม่จำเป็นต้องเปิดเสรีกัญชา อย่าเอาต้นทุนอนาคต ของสังคมมาขายเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้น

ดังนั้นคนกลุ่มใหญ่อย่างพ่อแม่ที่มีลูกเติบโต ในบรรยากาศที่กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดเขามีสิทธิ์ที่จะปกป้องลูกหลานของตนเอง ซึ่งเสียงตรงนี้กำลังมีมากขึ้น เรื่อย ๆ และเราไม่ควรเร่งรัดออกกฎหมายกัญชา ควรจะชะลอไปก่อน เพื่อหาทางร่วมที่เป็นทางสายกลาง เพื่อให้สังคมได้ประโยชน์มากที่สุด โดยมีการเตรียมพร้อมทางสังคมและออกแบบวิธีป้องกันโทษภัยให้มาก ที่สุด” ตัวแทนจาก มสช. กล่าว

ศ.นพ.วินัย วนานุกูล กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า เราควรมีจุดยืนต่อนโยบายกัญชา และร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ดังนี้ 1. ไม่สนับสนุนการใช้สารกัญชาเพื่อการสันทนาการ (Recreation Purpose) 2. สนับสนุน ให้มีการศึกษาประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์ทั้งในแผนไทยและแผนปัจจุบัน แต่ควรเป็นการศึกษาใน รูปแบบที่สังคมโดยทั่วไปและสากลยอมรับ

และ 3. บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นผลกระทบในทางลบจากกัญชา ควรได้รับการปกป้อง อาทิ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยทางด้านจิตเวช ในส่วนของมาตรการบรรเทาผลกระทบ ก็ควรเน้นไปในประเด็น 1.ปกป้องประชาชนกลุ่มเสี่ยง 2.ให้การข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชนและสังคม 3. การควบคุมโฆษณาเนื้อหาของการประชาสัมพันธ์ 4.เฝ้าระวังติดตามผลกระทบต่าง ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้สถิติตัวเลขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สธ. คมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ รวมถึงโครงการวิจัย

ด้าน นายวัชรพงศ์ พุ่มชื่น ศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ และเครือข่ายภาคประชาชน ต่อต้านภัยยาเสพติด กล่าวว่า ในส่วนของภาคประชาชนไม่ได้เข้าใจตัวร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ที่กำลังจัดทำ ประชาพิจารณ์ เราแค่รับรู้ว่ามี แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดในตัวร่างกฎหมาย ที่ผ่านมาหากเป็นกฎหมายยาเสพติด มักขาดการฟังเสียงสะท้อนของประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคมมาตลอด อย่าง ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ก็ฟัง แต่เสียงนักการเมือง แพทย์ นักวิชาการ คนใช้กัญชา

ซึ่งเสียงนั้นดังกว่าคนเป็นพ่อ เป็นแม่ และคนในชุมชน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้กัญชา ที่แม้พวกเขาจะส่งเสียงเท่าไรแต่ก็ไม่มีใครรับฟัง และก่อนปลดล็อค กัญชาสถานการณ์หนักอยู่แล้วกับการเข้าถึงกัญชาเพื่อนันทนาการ ผ่านการสั่งซื้อทางระบบออนไลน์ง่าย ๆ แค่เพียงคลิก

“ตัวอย่างที่อยากยกให้เห็นภาพคือ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 สภาพความเป็น จริงในสังคมกับการบังคับใช้ควบคุมโดยเฉพาะในเยาวชนก็ไม่สามารถทำได้จริง ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ตัว กฎหมาย แต่เป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับสังคมถึงประโยชน์และโทษของกัญชา รัฐในฐานะคนผลักดันต้องให้ ความรู้ทั้ง 2 ด้าน ซึ่งเรากลัวเหลือเกินว่าการพีอาร์กัญชาทางการแพทย์และเศรษฐกิจ จะนำไปสู่ธุรกิจสีเทา มากกว่าการสร้างมูลค่าให้ชุมชน จึงอยากฝาก 3 ข้อให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรับไปพิจารณาในการออกกฎหมาย กัญชา คือ 1.มีกฎหมายลูกเรื่องการบังคับใช้ พ.ร.บ.กัญชาฯ

โดยตั้งคณะกรรมการ คณะทำงาน ทีมวิจัย เฝ้าระวัง มาประเมินว่ากฎหมายดังกล่าวเหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่ หากไม่เหมาะสมก็สามารถยกเลิกได้ 2.สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของกัญชา คู่ขนานไปกับการประกาศใช้กฎหมาย โดยมอบหมาย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ และ 3.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อเช่น อย. ป.ป.ส. ศธ. และโรงเรียน สังกัดท้องถิ่น เปิดวิชาหลักเกี่ยวกับกัญชาเพื่อปูฐานความรู้รอบด้านตั้งแต่ระดับประถม ดีกว่าให้เยาวชน มาหาความรู้ด้วยการทดลองเองภายหลัง ทั้ง 3 ข้อนี้น่าจะช่วยลดผลกระทบจากการใช้กัญชาทางสันทนาการ ที่อาจขึ้นกับเยาวชนไทยได้” นายวัชรพงศ์ เสนอทางออก

พล.ต.นพ.พิชัย แลงชาญชัย ประธานชมรมจิตเวชศาสตร์การเสพติดแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การใช้กัญชาในฐานะยาเสพติดในประเทศไทยว่า กัญชาเป็นสารเสพติด พอเสพติดแล้วก็เลิกยาก เวลาเมาสารก็ทำให้เกิดอาการทางจิตได้ มีข้อมูลทางวิชาการชัดเจนว่าสัมพันธ์ กับการเกิดโรคจิต โรคซึมเศร้า และการฆ่าตัวตาย และกัญชายังมีผลต่อการพัฒนาการทางสมองของเด็ก และวัยรุ่น ทำให้สติปัญญา สมาธิ ความจำแย่ลง รวมถึงการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การกระตือรือล้น การคิด ตัดสินใจ การยับยั้งช่างใจ ผลการเรียนก็จะแย่กว่าเด็กที่ไม่สูบ ถ้าปลดล็อคและอนุญาตให้ใช้กัญชาได้ถูกกฎหมาย ก็จะทำให้การเสพกัญชาเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีคนติดมากขึ้น ส่งผลให้คนเป็นโรคจิตโรคซึมเศร้ามากขึ้น

ขณะที่ ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาผู้ป่วยจิตเวชจากกัญชาในโรงพยาบาลของรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาทต่อคน ใช้เวลา ประมาณ 1 เดือนในการรักษา แต่ก็มีไม่น้อยที่กลับมารักษาซ้ำ และข้อมูลจาก ป.ป.ส.พบว่าในปี 2562 มีผู้เสพผู้ใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงในประเทศไทยราว 1.7 ล้านคน ในจำนวนนี้มีคนที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ 150,000 คน และ 10% ของคนที่ใช้สม่ำเสมอ หรือ 15,000 คน ต้องการเข้ารับการบำบัด เท่ากับรัฐเสีย ค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขถึง 300 ล้านบาท จึงมีคำถามว่าระบบสาธารณสุขของไทยรองรับได้แค่ไหน ถ้าอนาคตปลดล็อคมีการเสพการใช้มากขึ้นตัวเลขก็จะยิ่งมากขึ้น แล้วเราดูแลเขาได้มั้ย

ข้อมูลจาก รายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรม (คลิกขวาเปิดไฮเปอร์ลิงก์) ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2564 มีการจับกุมคดียาเสพติดทั้งหมด 337,186 คดี ผู้ต้องหาทั้งหมด 350,758 คน พบของกลางที่เป็นกัญชา 41,573 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2563 ที่ของกลางกัญชาอยู่ที่ 9,227 กิโลกรัม เท่ากับเพิ่มขึ้น 32,346 กิโลกรัม หรือร้อยละ 450.5%

ขณะที่ช่องทางการค้าขายยาเสพติดในปี 2564 นอกจากการค้ายาเสพติดแบบทั่วไปแล้ว ยังพบว่ามี การใช้ช่องทางออนไลน์ทั้ง Line Twitter Facebook Instagram ฯลฯ โดยเฉพาะช่องทาง Twitter ได้รับความ นิยมสุงสุด ควบคู่กับการส่งยาเสพติดทางพัสดุไปรษณีย์ในการกระจายยาเสพติดไปสู่กลุ่มผู้เสพมากขึ้น

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนที่ซื้อขายยาเสพติดเกือบทุกชนิดอย่างแพร่หลาย มีการแจ้งราคาขายชัดเจน มีช่องทางการส่งให้เลือกหลากหลาย เช่น นัดรับส่งผ่านไปรษณีย์ทั้งของรัฐและเอกชน ยิ่งปัจจุบันธุรกิจ โลจิสติกส์ในประเทศไทยขยายตัวมากขึ้น ทำให้การขนส่งสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

รศ.พญ.รัชมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติด (ศศก.) ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในเรื่องของกัญชา ทางศูนย์มีตัวเลขปี 2564 พบคนไทยอายุ 18-25 ปี มีการใช้กัญชาที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ประมาณ 1.89 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.3% ถือว่าสูงมาก เพราะถ้าเป็นเมื่อ 2 ปีก่อนตัวเลขยังไม่สูงขนาดนี้ และหากเทียบกับปี 2563 ก็พบว่าเพิ่มขึ้นมาถึง 2 เท่า ก็เข้าใจได้ว่าเพราะปีที่ผ่านมามีการเปิดให้ใช้บางส่วนของกัญชา ทำให้ประชาชน เห็นว่าการที่ร้านค้าขายกัญชาเป็นเรื่องปกติ

ขณะที่ตัวผลิตภัณฑ์ก็น่ารักน่าใช้ดูไม่มีอันตราย จากเดิม ภาพลักษณ์กัญชาคือเป็นบ้อง และเมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ก็มีบางส่วนที่ค่า THC เกิดมาตรฐานที่ สธ.กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งเมื่อเจอแล้วเราก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องแจ้งใคร ที่ไหนอย่างไร จึงอยากให้สังคมและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเริ่มหันมาตระหนัก ที่สำคัญชุมชนควรเข้ามาช่วยดูแล เพราะร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ เขียนอนุญาตให้มีเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม จะกลายเป็นการเอื้อให้เกิดการผูกขาดอะไรก็ได้ และสุดท้ายอาจกลายเป็นเอกชนรายใหญ่ที่เข้ามาฮุบวิสาหกิจชุมชน

ผศ.ดร.อุษณีย์ พึ่งปาน นักวิจัยอาวุโส จากศูนย์วิจัยยาเสพติด วิทยาลัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากมีนโยบายเดินหน้าเรื่องกัญชา และมีการ ปลดล็อคกัญชาจากบัญชียาเสพติด พบว่าปัจจุบันคนมีการใช้กัญชาหลงไปในทางอื่น ๆ อย่างแพร่หลาย บางคนเอากัญชามากินแทนผักกับลาบก็มี และเข้าใจไปว่ากัญชาคือยารักษาสารพัดโรค

ขณะที่งานวิจัยของ ทางศูนย์ฯ ที่เก็บตัวอย่างทั้งน้ำและอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชาเมื่อ ธ.ค. 2564 และ ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา พบว่ามีค่า THC เกิน 0.2% ถึง 20% โดยผู้ประกอบการไม่ได้ตั้งใจจะใส่เกิน แต่กระบวนการผสมนั้น ไม่ได้มาตรฐาน หลายผลิตภัณฑ์เป็นของโอท็อปผลิตในชุมชน ดังนั้นการคุมโดยการเขียนกฎหมายมันจะไม่ เกิดผลอะไรขึ้น เรียกได้ว่าคุมไม่อยู่ แต่เราจะมีกลยุทธ์อย่างไรให้เกิดการปฏิบัติได้จริง ต่างหากที่สำคัญ 

ทั้งนี้ที่ประชุมเสวนาโต๊ะกลมจะนำข้อสรุปที่ได้ในวันนี้ จัดทำเป็นข้อเสนอและเสนอไปสู่คณะ รับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ของ สธ.อย่างเป็นทางการต่อไป

 

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org