กรมควบคุมโรคยืนยันวัคซีนป้องกันโควิดมีประสิทธิผลลดอาการรุนแรง-เสียชีวิต "โอมิครอน"   ฝากถึงผู้หวังดีการให้ข้อมูลขออย่าให้ตื่นตระหนก เพราะวัคซีนยังใช้ได้ กรณีสงสัยฉีดไฟเซอร์ 2 เข็มยังติดโควิด เพราะข้อมูลวิชาการทั่วโลกยืนยันฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันติดเชื้อ 100% แต่ลดความรุนแรงลงจริง

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2564 นพ.โอภาส การ์ยกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีไฟเซอร์ 2 เข็มเอาไม่อยู่ ว่า อย่างที่นำเรียนว่า ข้อมูลข่าวสารเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นความเห็น ความรู้สึกมากกว่าข้อเท็จจริง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข จะรวมข้อมูลทั้งหมดมาแจ้งให้ทราบ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อจากโอมิครอน ต่างจากสายพันธุ์อื่นหรือไม่  ต้องบอกว่า เบื้องต้นไม่แตกต่างกัน ยังติดต่อผ่านละอองฝอยเป็นหลัก การติดต่อผ่านลม ผ่านอากาศเจอน้อยมาก จะเจอในบางกรณีคือ ห้องอับ หรือห้องที่มีการแพร่กระจายเชื้อสูง   ไม่ได้แพร่ทางอากาศทั่วๆไป  

ส่วนเรื่องวัคซีน ไม่ว่าชนิดไหนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ 100% แต่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขที่นำเรียน ซึ่งผ่านการวิเคราะห์  โดยไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการใช้วัคซีนหลายยี่ห้อ และพบประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันติดเชื้อ 50-80% แต่สามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ค่อนข้างดีมากในระดับ 80-90% ขึ้นไป ดังนั้น หากพูดถึงประสิทธิผลต้องพูด 2 ส่วนคือ  ส่วนหนึ่งการป้องกันการติดเชื้อ และอีกส่วนช่วยลดความรุนแรงของการติดเชื้อ

"ขอยืนยันว่า วัคซีนยังป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้  จึงถือว่ามีประสิทธิภาพถ้าเทียบกับการไม่ฉีดวัคซีนเลย" นพ.โอภาส กล่าว 

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  กล่าวว่า ขอย้ำว่า ตอนนี้เมื่อเดินออกจากบ้าน ศัตรูของสายพันธุ์โควิดที่จะทำอันตรายของเรา คือ เดลตา ยังไม่มีโอมิครอน ดังนั้น ต้องฝากให้คิดว่า หากไม่ฉีดวัคซีน ก็จะตัวเปล่าไม่มีอะไรปกป้องเลย จึงขอความกรุณาว่า แม้จะมีผู้หวังดีเตือนว่า ในอนาคตจะต้องมีวัคซีนรุ่น 2 รุ่น 3 เพื่อสู้สายพันธุ์นี้โดยตรง แต่ตอนนี้เราต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง ควรมาฉีดวัคซีนกัน ซึ่งมีอีก 30-40% ยังไม่มาฉีด ขอให้มาฉีดวัคซีน เพื่อความปลอดภัยของท่าน และครอบครัว

 

ข่าวเกี่ยวข้อง : 

- สธ.ยืนยันต่างชาติเดินทางเข้าไทยเป็น "โอมิครอน" รายแรก จาก Test and Go

เปิดไทม์ไลน์ชาวต่างชาติเข้าไทยตรวจเจอ "โอมิครอน" รายแรก

แฟ้มภาพ

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org