สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. กำหนดทิศทางการดำเนินงาน ภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ ฉบับที่ 5 ตั้งเป้ายกระดับการรับรองมาตรฐาน HA ของไทยให้อยู่ในระดับสากล พร้อมผลักดันพัฒนาระบบความปลอดภัย 3P Safety ผู้ป่วย บุคลากร ประชาชน ปลอดภัย

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2564 ที่อาคารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. กระทรวงสาธารณสุข จัดแถลง “ทิศทางการดำเนินงานของ สรพ. ภายใต้มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ ฉบับที่ 5” โดย พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. คนใหม่ ประกาศตั้งเป้าหมายดันองค์กร “อยู่รอด อยู่ร่วม อยู่อย่างมีความหมาย” เป็นองค์กรที่มีชีวิต องค์กรที่เป็นมิตร และองค์กรที่ใครๆ ก็คิดถึง

พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า ตั้งใจที่จะสานต่อภารกิจหลักของ สรพ. ที่มีด้วยกัน 6 ด้าน คือ 1. การพัฒนามาตรฐานและรับรอง การกำหนดมาตรฐานของสถานพยาบาลเพื่อใช้เป็นแนวทางการประเมินการพัฒนาและการรับรองคุณภาพของสถานพยาบาล 2. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาคุณภาพของสถานพยาบาล 3. สร้างกลไกการพัฒนาระบบบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยของสถานพยาบาล 4. สนับสนุน ดำเนินการเผยแพร่องค์ความรู้ การเข้าถึงและใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการประเมิน การพัฒนาและการรับรองคุณภาพของสถานพยาบาล 5.ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายในประเทศหรือต่างประเทศ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินการพัฒนาและการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล และ 6. ฝึกอบรมสถานพยาบาลให้เกิดความเข้าใจการประเมิน การพัฒนาและการรับรองคุณภาพของสถานพยาบาล

“การดำเนินงานต่างๆ โดยหลักต้องดำเนินการตามบทบาทภารกิจจัดตั้งองค์กร เพียงแต่จะปรับวิธีและรูปแบบที่จะบรรลุเป้าหมายให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป มีหน้าที่มาสานต่อและต่อยอดสิ่งดีๆที่อดีตผู้บริหารทั้งสองท่าได้เริ่มและทำไว้ ดังนั้นวิสัยทัศน์ที่ ผู้อำนวยการ สรพ. ท่านก่อน ระบุว่า ‘ระบบบริการสุขภาพ มีคุณภาพ และไว้วางใจได้ด้วยมาตรฐาน HA’ เราตั้งใจจะสานต่อวิสัยทัศน์นี้ที่กำหนดไว้ โดยจะต่อยอดให้เกิดความท้าทายมากขึ้น คือ เติม คำว่า ‘ในระดับสากล’ เข้าไปเพื่อให้เกิดเป็น ‘ระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ และไว้วางใจได้ ในระดับสากล ด้วยมาตรฐาน HA’ หมายความว่า ไม่ใช้เฉพาะในประเทศแต่จะสู่ระดับสากล ซึ่งจะนำมาสู่การปรับรูปแบบการทำงาน การเพิ่มเวทีของการขับเคลื่อนให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการต่อยอดจากเดิม” พญ.ปิยวรรณ กล่าว

พญ.ปิยวรรณ กล่าวว่า เป้าหมายในปีต่อไป สรพ. จะปรับระบบการจัดการภายในองค์กร คือให้สามารถ “อยู่รอด อยู่ร่วม อยู่อย่างมีความหมาย” เป็นองค์กรที่มีชีวิต เป็นมิตร และใครๆ ก็คิดถึง โดยให้ตลอด 4 ปีของการทำงานจากนี้จะวางรากฐานองค์กรให้สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนและมีความเป็นสากล

“การสร้างระบบบริการสุขภาพของไทยให้เป็นสากล ความไว้วางใจจะเกิดขึ้นทั้งในไทย และระดับสากล สิ่งที่เราทำให้มีความเป็นสากล คือองค์กรเราต้องผ่านการประเมินจากองค์กรระดับสากล ในลักษณะการทำงานระหว่างประเทศ ที่ดำเนินการรับรองให้กับองค์กรที่ให้การรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ซึ่ง สรพ. ผ่านการรับรองมาแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประกาศภายในปีนี้ ความเป็นสากล ของเราเริ่มด้วยการทำตัวเองให้เป็นสากล และขณะนี้เราเริ่มติดต่อองค์กรต่างประเทศมาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ เป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการให้ระบบบริการสุขภาพดีมีคุณภาพ” ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าว

ที่ผ่านมาสรพ.เกิดการขับเคลื่อนงานอย่างประสบสำเร็จและมีคุณค่า แต่ด้วยสถานการณ์โควิดที่เกิดส่งผลให้ เกิดการเปลียนแปลงที่ท้าทาย จากความสำเณ้จระดับบนยอดเขาที่ผู้นำทั้งสองท่าได้ทำไว้ มีโอกาสที่จะขยับลง โรงพยาบาลที่ผ่านการประเมินรับรองราว 60 -70 เปอร์เซ็นต์ จากโรงพยาบาล 1,400 กว่าแห่งทั่วประเทศ หรือประมาณ 700 กว่าสถานพยาบาลที่อยู่ในกระบวนการรับรองมาตรฐานคุณภาพสถานพยาบาลที่ผ่านมา อาจเริ่มมีข้อจำกัดด้วยสถานการณ์ทำให้เข้าสู่กระบวนการคุณภาพลดลง กระบวนการเยี่ยมสำรวจที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบ การฝึกอบรมที่ไม่สามารถจัดที่สถานที่ได้ และสถานการณ์อื่นที่ท้าทาย สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ภารกิจ 6 ด้าน ของ สรพ. ทำไม่ได้เหมือนที่เคยทำ เช่น การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อประเมินต้องปรับการเป็นแบบ Virtual conference ดังนั้นเราต้องมาดูกันว่าหลังจากนี้เราจะดำเนินการในด้านการตรวจรับรองมาตรฐานอย่างไร รูปแบบไหน ทำให้ภารกิจในการประเมิน รับรองเปลี่ยนแปลงไป เราจะทำอย่างไรให้งานประเมินรับรองคุณภาพสถานพยาบาลมีคุณค่า มีความหมาย และโรงพยาบาลจะเข้าสู่กระบวนการได้อย่างมีความสุข นี่คือสิ่งที่ท้าทายการทำงานหลังจากนี้

“ส่วนภารกิจด้านการพัฒนามาตรฐานสถานพยาบาล เรามองเห็นกันชัดเจนว่าต่อให้เกิดโควิด-19 ระบาด นักพัฒนาหรือผู้เชี่ยวชาญยังสามารถร่วมพัฒนามาตรฐานได้ นั่นจึงเป็นที่มาของ มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ ฉบับที่ 5 จึงเกิดขึ้นมาได้และที่สำคัญเป็นช่วงสถานการณ์ที่ทำให้เราสามารถปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 ด้วย ซึ่งมีหลายเรื่องที่เราปรับนำเข้าไปไว้ในมาตรฐาน เช่น ระบบการรักษาทางไกล Telemedicine ในการพัฒนามาตรฐานของโรงพยาบาล เป็นต้น” ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าว

ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวด้วยว่า สรพ. มีความตั้งใจจะขยับเรื่องการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น ได้รับการตีพิมพ์ ยอมรับในระดับสากล ทั้งเรื่องกระบวนการแระเมินรับรองและเรื่อง Patient Safety ทำให้มีความสากล ที่เราดำเนินนโยบาย 2P Safety (Patient, Personnel) ซึ่งที่ผ่านมาได้บูรณาการเป้าหมายเข้าไปอยู่มาตรฐานสำคัญ จำเป็นต่อความปลอดภัย ผลักดันให้เป็นเกณฑ์รับรองความปลอดภัยของสถานพยาบาล เพื่อให้คุณเกิดความมั่นใจว่า เมื่อได้รับมาตรฐาน HA ไปแล้ว จะมีระบบที่จะทำไม่ให้เกิดการผิดพลาด ผ่าตัดผิดคน ผิดข้าง ผิดตำแหน่ง ระบบการป้องกันไม่ให้มีการให้เลือดผิด นอกจากมีระบบแล้ว ถ้าเกิดเหตุขึ้น เรามีกระบวนการเอาเรื่องเหล่านี้เข้ามาทบทวนแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก การขับเคลื่อนเรื่อง patient and personnel safety หรือ 2P safety mประเทศไทยได้เริ่ม ช่วงการระบาดของโควิด-19 องค์การนามัยโลก (WHO) ประกาศให้มีเรื่องความปลอดภัยบุคลากรสาธารสุขด้วยเช่นกัน ซึ่งไทยเราทำมากก่อนหน้านั้น ดังนั้นเราจะขยับเพิ่มเป็น 3P Safety (Patient, Personnel, People) ให้มีเรื่องของประชาชน (People) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ระบบบริการสุขภาพของเราแข็งแรง

“เราเริ่มเห็นว่า P ที่ 3 หรือ ประชาชนเข้ามามีความสำคัญ คือ โควิด-19 เราได้รับโอกาสจากกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ สปสช. ที่ให้โอกาส สรพ. ดำเนินการประเมิน Home Isolation กักตัวผู้ป่วยอาการน้อยหรือไม่มีอาการดูแลรักษาตัวเองที่บ้าน เรื่องนี้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก เพราะว่าการกักตัวที่บ้าน คนในบ้านคือ People เพื่อให้มีความปลอดภัย กล่าวได้ว่าเราใช้สถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวขยับ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำให้มีความปลอดภัย ที่สำคัญในเรื่องการประเมินคุณภาพสถานพยาบาล ก็จะมีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นี่คือเป็นภาพต่อไปในอนาคตที่เราอยากทำให้เกิด” ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าว

 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org