กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิดในนักเรียน เผยกลุ่มเด็กผู้ชายฉีดเข็มเดียวก่อน เพื่อประเมินผลข้างเคียงตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ย้ำแม้ฉีดวัคซีนแล้ว สถานศึกษายังต้องเคร่งมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ เผยปีหน้าตั้งเป้าฉีดวัคซีน 86 ล้านโดส คาดมีวัคซีนขึ้นทะเบียนรองรับกลุ่มอายุ 3-11 ปี

 

วันที่  4  ตุลาคม 2564 ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนในเด็กนักเรียน ว่า วันนี้ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโควิดรักษาหาย 12,336 ราย สูงกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ต่ำกว่าหมื่นราย คือ 9,978 ราย และมีผู้เสียชีวิต 97 ราย แนวโน้มถือว่าลดลง แต่จังหวัดชายแดนใต้ยังพบการติดเชื้อสูงคิดเป็นร้อยละ 21 ของประเทศ ซึ่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 12 ได้ลงไปบูรณาการสนับสนุนการควบคุมโรคในพื้นที่แล้ว และมีการจัดส่งวัคซีนไปเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วน ร่วมกับการเคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล การดูแลป้องกันการติดเชื้อในสถานที่ทำงาน และการป้องกันลักลอบเข้าเมือง คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขณะนี้ฉีดสะสม 55 ล้านโดส คาดว่าสิ้นปี 2564 จะฉีดเข็ม 1 ได้ 60 ล้านโดส เข็ม 2 ประมาณ 52 ล้านโดส และเข็ม 3 อีก 7 ล้านโดส รวมเป็น 119 ล้านโดส ส่วนปี 2565 จะฉีดเข็ม 1 สำหรับกลุ่มตกค้าง คือ อายุ 3-11 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนฉีดในกลุ่มนี้ได้ ประมาณ 6 ล้านคน เข็ม 2 ประมาณ 14 ล้านโดส และเข็ม 3 อีกประมาณ 66 ล้านโดส รวม 86 ล้านโดส ซึ่งกรมควบคุมโรคเซ็นสัญญาจัดซื้อกับแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว 60 ล้านโดส จำนวนที่เหลือกำลังทยอยทำสัญญา

นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า วันนี้เริ่มฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปเป็นวันแรก โดยให้โรงเรียนเป็นสถานที่ฉีดเพื่อความสะดวกในการเดินทาง โดยแต่ละจังหวัดโรงเรียนและโรงพยาบาลจะหารือกันเพื่อจัดการฉีดได้สอดคล้อง รวมถึงฉีดนักเรียนชาวต่างชาติด้วย สำหรับกลุ่มโฮมสคูลที่ไม่อยู่ในระบบ จะจัดสรรวัคซีนไปที่จังหวัดและนัดหมายลงทะเบียนการฉีดในระยะต่อไป กรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยแต่อายุต่ำกว่า 18 ปี ให้แสดงความจำนงที่จังหวัด เพื่อจัดสรรวัคซีนฉีดให้ ส่วนกรณีนักเรียนมัธยมที่อายุเกิน 18 ปีอนุโลมให้ฉีดไฟเซอร์เหมือนเพื่อนในชั้นเรียนได้ ทั้งนี้ วันที่ 6 ตุลาคม จะมีวัคซีนไฟเซอร์มาอีก 1.5 ล้านโดส และสัปดาห์ถัดไปอีก 1.5 ล้านโดส ดังนั้น  2 สัปดาห์ที่จะถึงนี้จะมีวัคซีนทั้งหมด 5 ล้านโดสกระจายไปให้เพียงพอกับความต้องการฉีด

 

“อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ พบว่ามีความสัมพันธ์กับการฉีดวัคซีน mRNA ส่วนใหญ่เกิดในเด็กชายอายุ 12-17 ปี ในการฉีดเข็มที่ 2 พบประมาณ 6 คนใน 1 แสนคน อาการไม่รุนแรงและหายเองได้ ประเทศไทยจากการฉีด 1.3 แสนคน พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 4 คน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการฉีดวัคซีนมีประโยชน์มากกว่าผลข้างเคียง กระทรวงสาธารณสุขจึงจะฉีดวัคซีนให้เด็กผู้หญิง 2 เข็ม ส่วนเด็กผู้ชายจะฉีดเข็มเดียวก่อน เพื่อติดตามข้อมูลและประเมินผลข้างเคียง ตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย” นพ.โอภาสกล่าว

 

นพ.โอภาสกล่าวว่า แม้ขณะนี้จะมีการฉีดวัคซีนในครูและบุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 80-90% และกำลังเร่งฉีดให้ครบ 100% รวมถึงเริ่มมีการฉีดวัคซีนในเด็กนักเรียนแล้ว แต่เพื่อให้การเรียนการสอนมีความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ขอให้จัดสถานศึกษาให้มีความปลอดภัย โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม ระบบถ่ายเทอากาศ การเว้นระยะห่าง การทำกิจกรรมร่วมกันต้องเคร่งครัด โดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน เน้นย้ำการสวมหน้ากาก ทำความสะอาดสถานที่ โรงเรียนประจำอาจต้องมีการตรวจ ATK เป็นระยะ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่