หมอประกิต ยื่นข้อเสนอต่อรมว.คลัง ปรับโครงสร้างภาษียาสูบ แพงขึ้น 8-10 บาท/ซอง ส่งผลราคาบุหรี่ขยับเป็น 68-70 บาทต่อซอง ส่งผลดีต่อสุขภาพ รายได้รัฐ ช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบ และแก้ปัญหาบุหรี่หนีภาษี

เมื่อวันที่ 22 กันยายน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และสื่ออื่นๆ กรณีกระทรวงการคลังจะเสนอโครงสร้างภาษียาสูบที่ปรับใหม่ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันอังคารที่ 21 กันยายน เพื่อให้ทันที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้  แต่ก็ไม่มีข่าวจากที่ประชุม ครม. และช่วงค่ำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกข่าวว่า ยังไม่มีการตัดสินใจเรื่องโครงสร้างภาษีในที่ประชุม ครม. และได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตไปตรวจสอบเรื่องการกักตุนบุหรี่นั้น

“ผมมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่า หากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยังตกลงกันในเรื่องโครงสร้างอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ที่จะใช้ไม่ได้  อาจจะทำให้ที่ประชุม ครม. ในวันอังคารที่ 28 กันยายน ต้องมีมติให้เลื่อนการขึ้นภาษีและให้ใช้โครงสร้างภาษีเดิม ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2560 ต่อไปอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะให้เกิดขึ้น เนื่องจากภาษีที่ใช้มาแล้ว 4 ปี สร้างปัญหาต่อทั้งด้านการจัดเก็บรายได้ ส่งผลกระทบต่อชาวไร่ยาสูบ และที่สำคัญไม่ได้ส่งผลดีต่อการคุ้มครองสุขภาพประชาชน ที่สำคัญได้มีการเลื่อนการขึ้นภาษีมาถึง 2 ครั้งในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา จึงไม่ควรจะมีการเลื่อนแล้วเลื่อนอีก  และตามที่ รมว.อาคม ระบุว่า การขึ้นภาษีจะพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น 4 ด้าน คือ ผลกระทบต่อสุขภาพ ต่อรายได้ที่จะจัดเก็บได้ ต่อชาวไร่ยาสูบ และต่อบุหรี่หนีภาษี” ศ.นพ.ประกิต กล่าว

ศ.นพ.ประกิต กล่าวว่า ผมขอเสนอว่า ในส่วนของผลกระทบต่อสุขภาพและการจัดเก็บรายได้ไม่ว่าโครงสร้างหรืออัตราภาษีจะเป็นอย่างไร จะตัดสินใจเป็นโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่อัตราเดียว หรือสองอัตรา ประเด็นที่สำคัญที่ต้องตระหนักคือโครงสร้างอัตราภาษีใหม่ที่ ครม. จะเห็นชอบ  จะต้องทำให้ราคาขายปลีกบุหรี่แพงขึ้น อย่างน้อยซองละ 8 ถึง 10 บาท ซึ่งจากเดิมราคาขาย ณ วันนี้อยู่ที่ซองละประมาณ 60 บาท ต้องขยับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ซองละ 68 ถึง 70 บาท ซึ่งการขึ้นราคาในทิศทางตามข้อเสนอนี้ จะเหมือนกับอัตราภาษีที่เคยปรับเพิ่มขึ้นในอดีต

ซึ่งหากโครงสร้างภาษีใหม่ส่งผลต่อราคาขายได้เช่นนี้ จะทำให้กระทรวงการคลังสามารถเก็บภาษีบุหรี่ได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินสำหรับไปช่วยเหลือเยียวยาชาวไร่ยาสูบได้อีกทางหนึ่ง  และที่สำคัญคือจะทำให้การสูบบุหรี่ลดลงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเยาวชนที่มีกำลังซื้อน้อย

ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า ในส่วนของผลกระทบที่อาจเกิดต่อชาวไร่ยาสูบ ก็ขอให้ ครม. มีมติเกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาให้ชัดเจนเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย และในส่วนของผลกระทบต่อบุหรี่หนีภาษีหรือบุหรี่เถื่อนนั้น เป็นปัญหาที่รัฐบาลนี้สามารถแก้ไขได้ หาก ครม. มีมติให้รัฐบาลไทยเข้าร่วมลงสัตยาบัน ในพิธีสารว่าด้วยการขจัดการค้ายาสูบที่ผิดกฎหมาย ตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก

ซึ่งในพิธีสารดังกล่าวได้กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาที่ครบวงจรรอบด้าน ส่งผลดีต่อการควบคุมบุหรี่หนีภาษี และการกำหนดนโยบายภาษีในอนาคต  ซึ่งหากกระทรวงการคลังซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมบุหรี่หนีภาษีได้เป็นอย่างดี จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อชาวไร่ยาสูบไทย เพราะหากรัฐบาลยังปล่อยให้ปัญหาบุหรี่หนีภาษี ยังเป็นปัญหาเหมือนหอกข้างแคร่เช่นนี้ต่อไป บุหรี่ถูกกฎหมายของการยาสูบแห่งประเทศไทย จะยิ่งเสียส่วนแบ่งให้แก่บุหรี่หนีภาษีต่อไปอีกเรื่อย ๆ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือบุหรี่หนีภาษี ล้วนเป็นบุหรี่ต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้ใบยาสูบที่ปลูกในประเทศไทยเลย
 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org