กรมควบคุมโรคเผยเคสเชียงรายติดโควิด เหตุเป็นเพื่อนทำงานที่เมียนมากับผู้ป่วยโควิดเชียงใหม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนโรค ย้ำปชช.ท่องเที่ยวหน้าหนาวได้ตามปกติ แต่ขอปฏิบัติมาตรการป้องกันโรค สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีพบผู้ติดเชื้อเป็นหญิงไทยที่ลักลอบเข้ามาจากเมียนมา ตามที่มีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า จากการตรวจหาเชื้อในคนสัมผัสเสี่ยงสูง 65 ราย ผลเป็นลบแปลว่าไม่มีการติดเชื้อ แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะยังอยู่ในช่วงวันแรกๆ ปกติจะมีการตรวจเจอเชื้อราวๆ วันที่ 5-7 ดังนั้นก็ต้องมีการตรวจเชื้อซ้ำอีกหลังจากนี้ โดยถ้านับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. เป็นต้นมา ถ้าพ้นวันอังคารที่ 1 ธ.ค. 2563 ไปแล้วยังไม่มีการติดเชื้อเพิ่มก็ค่อนข้างที่จะสบายใจได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างกักตัวให้ครบ 14 วัน
นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า สำหรับอีกกรณีที่พบที่จังหวัดเชียงรายนั้น ได้รับรายงานเบื้องต้นว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานที่เมียนมาด้วยกันกับผู้ป่วยรายที่เชียงใหม่ ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเสี่ยงในการแพร่โรคในพื้นที่เป็นอย่างไรบ้าง เนื่องจากขณะนี้ที่เชียงใหม่ เชียงรายอากาศหนาว และเป็นฤดูท่องเที่ยวทำให้ประชาชนกังวลที่จะไปท่องเที่ยวที่เชียงใหม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ประชาชนสามารถไปท่องเที่ยวได้ตามปกติ โดยสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า หมั่นล้างมือ และไม่ไปในที่ที่คนเยอะ ห้องแอร์อากาศปิด แต่ถ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดโล่ง เช่น ภูเขา น้ำตก สวนดอกไม้ เนื่องจากเป็นพื้นที่เปิดโล่งความเสี่ยงจึงน้อย สามารถเที่ยวได้ ส่วนตัวตอนแรกว่าจะไม่ไปเที่ยวไหน แต่ตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่เชียงใหม่เช่นกัน
เมื่อถามว่าเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับสถานบันเทิง เคสนี้ถือว่าสถานการณ์คล้ายกับเหตุการณ์ระบาดที่ผับย่านทองหล่อ เมื่อต้นปีหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ไม่เหมือนกัน เพราะที่ทองหล่อ กว่าเราจะทราบและกว่าจะตามตัวได้ก็พบว่ามีคนติดเชื้อไปหลายรายแล้ว ส่วนเคสที่เชียงใหม่นี้เราสามารถตรวจสอบ และติดตามผู้สัมผัสได้ตั้งแต่ยังไม่พบคนติดเชื้อเพิ่มจากผู้ติดเชื้อรายนี้ แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และขอเตือนคนไทยว่าการที่ท่านอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาด เช่น เมียนมาซึ่งมีการระบาดของโควิด-19 อยู่นั้น เท่ากับความท่านเป็นผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ ขออย่าลักลอบเข้ามาเพราะถ้าลักลอบเข้าก็เสี่ยงที่จะเอาเชื้อมาติดคนในครอบครัว คนใกล้ชิดท่าน และคนในพื้นที่ที่ท่านเดินทางไป อีกทั้งยังผิดกฎหมายหลายฉบับอาทิ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ เป็นต้น ดังนั้นขอให้เข้าประเทศตามกระบวนการ ถ้าติดเชื้อจะได้ดูแลรักษากันตามระบบ ส่วนคนไทยที่อยู่ในประเทศเอง ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา อย่าอำนวยความสะดวกให้กับคนที่ลักลอบเข้ามา เพราะเสี่ยงเอาเชื้อมาแพร่ในประเทศ.
- 4 views