แม้สวัสดิการด้านสุขภาพของรัฐทั้ง 3 สิทธิ ได้แก่ สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ประกันสังคม และ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บรรจุสิทธิประโยชน์ด้านบริการทันตกรรม และครอบคลุมประชากรมากกว่าร้อยละ 99 ของประเทศ
แต่ในข้อเท็จจริง กลับพบว่าการเข้าถึงบริการทันตกรรมของประชากรยังคงต่ำ และไม่เท่าเทียมกันระหว่างสิทธิ
การศึกษา “ความเป็นธรรมในการได้รับบริการสุขภาพช่องปากของประชากรไทย: การวิเคราะห์ผลการสำรวจอนามัยและสวัสดิการ พ.ศ. 2560” โดย ธีรวัฒน์ ทัศนภิรมย์, วริศา พานิชเกรียงไกร และวุฒิพันธุ์ วงษ์มงคล ซึ่งเผยแพร่ในเดือน ก.ย. ปีที่ผ่านมา
ระบุว่ามีผู้ได้รับบริการทันตกรรมคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 9.6 ของประชากรทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2560 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.1 ในปี พ.ศ. 2558 โดยสัดส่วนดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก หากเปรียบเทียบกับสถิติภายหลังปี 2552 เป็นต้นมา
ขณะที่ประเทศในกลุ่ม OECD (The Organization for Economic Co-operation and Development) มีสัดส่วนการรับบริการทันตกรรมที่แตกต่างกัน อยู่ที่ร้อยละ 37-71 ในปี พ.ศ. 2552
การศึกษาดังกล่าวยังพบว่าผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการมีสัดส่วนได้รับบริการทันตกรรมมากที่สุด คือ ร้อยละ 14.8 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด รองลงมาคือ ผู้มีสิทธิประกันสังคม ร้อยละ 12.3 และสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต่ำที่สุด เพียงร้อยละ 8.5
สาเหตุหลักที่ผู้มีสิทธิเลือกที่จะไม่เข้ารับบริการทันตกรรม เป็นเพราะคิวช้าและรอนาน ไม่สะดวกไปรับบริการในเวลาทำการ ขณะที่ผู้มีสิทธิประกันสังคมจำนวนหนึ่งระบุว่าเป็นเพราะสวัสดิการไม่ครอบคลุม เมื่อเทียบกับสิทธิสวัสดิการข้าราชการ
เมื่อแบ่งประชากรตามระดับเศรษฐานะเป็น 5 ระดับควินไทล์ ประชากรกลุ่มควินไทล์ที่ 5 หรือประชากรกลุ่มที่รวยที่สุด ได้รับบริการทันตกรรมมากกว่าประชากรในกลุ่มควินไทล์ที่ 1 - 3 หรือประชากรกลุ่มที่จนที่สุด มากกว่า 2 เท่า
นั่นสะท้อนปัญหาความไม่เป็นธรรมในบริการทันตกรรมไทย เมื่อกลุ่มประชากรต่างเศรษฐานะ ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้เท่าเทียมกัน
“เศรษฐานะมีผลเยอะ เศรษฐานะไม่ใช่แค่เรื่องรายได้ แต่ยังมีเรื่องการศึกษา ไลฟ์สไตล์ ความพร้อมในชีวิต มีแนวโน้มที่คนที่พร้อมมากกว่าจะไปหาหมอฟันได้ง่ายกว่า ถึงจะมีหรือไม่มีอาการ ก็ไปตรวจฟันได้” ทพ.ธีรวัฒน์ ทัศนภิรมย์ คณะทันแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหนึ่งในทีมผู้วิจัยกล่าว
“คนที่มีเศรษฐานะน้อย มีต้นทุนในการไปรับบริการสุขภาพสูง มีค่าเดินทาง และค่าเสียโอกาสจากการลางาน เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถไปรับบริการได้”
ต่างสิทธิ ต่างวิธีเบิกจ่าย ผู้ป่วยเข้าถึงบริการไม่เท่าเทียมกัน
ทพ.ธีรวัฒน์ ชี้ว่าที่มาของความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการทันตกรรมระหว่างสิทธิสวัสดิการด้านสุขภาพ มี “ความซับซ้อน” หนึ่งในปัจจัย คือ ระบบการเบิกจ่ายเงินและการบริหารงานที่แตกต่างกันในแต่ละสิทธิ
ยกตัวอย่างเช่น ในสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการที่ใช้ระบบจ่ายเงินแบบรายบริการ Fee for service (การจ่ายเงินให้ผู้ให้บริการตามปริมาณงานที่ให้บริการ) อาจมีแนวโน้มเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ให้บริการให้บริการมากกว่าสวัสดิการที่ใช้ระบบงบประมาณแบบรายหัว (Capitation) ที่สถานบริการได้รับงบประมาณแบบตายตัว
นอกจากนี้ เมื่อมีผู้ป่วยภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีจำนวนมาก การรักษาจึงมีคิวยาว ผู้ป่วยต้องรับบริการจากโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมักเปิดเฉพาะในเวลาราชการ
สิทธิประกันสังคมจ่ายค่าบริการทันตกรรมแบบกำหนดเพดาน คือ ไม่เกิน 900 บาท/คน/ปี ซึ่งครอบคลุมบริการทันตกรรมไม่กี่รายงานเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินเอง
“ฟันไม่ใช่เรื่อง Emergency (ฉุกเฉิน) เป็นแล้วไม่ถึงชีวิต ทั้งตัวผู้รับบริการและผู้จัดการระบบจึงไม่ได้ให้ Priority (ความสำคัญลำดับแรก) กับเรื่องฟันเท่าที่ควร อย่างเช่น สิทธิประกันสังคม ซึ่งมาให้สิทธิประโยชน์เรื่องฟันในตอนหลัง และมีทัศนคติว่าสิทธิประโยชน์เรื่องฟันถือเป็นของแถม” ทพ.ธีรวัฒน์ ให้ความเห็น
“ข้อเสนอของเรา คือ 3 สิทธิควรมีสิทธิเหมือนกัน ทั้งในเรื่องชุดสิทธิประโยชน์ กลไกการจ่ายเงิน และข้อกำหนดบริการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และการเข้าถึงบริการที่เท่าเทียมกัน”
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายอื่น ๆ จากงานวิจัย ได้แก่ เพิ่มการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปาก เพื่อให้คนรับรู้ถึงความจำเป็นที่ต้องได้รับบริการทันตกรรม จัดทำโครงการที่ขยายบริการทันตกรรมไปสู่ประชาชนกลุ่มเปราะบางและกลุ่มที่มีเศรษฐานะต่ำ
และเพิ่มศักยภาพของสถานบริการภาครัฐ เช่น ขยายเวลาให้บริการ และทำงานเชิงรุกนอกสถานพยาบาล โดยทางเลือกหนึ่งคือการดึงสถานบริการเอกชนเข้ามาร่วมให้บริการเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับระบบบริการสุขภาพช่องปาก
ภาครัฐขยับยาก เสนอดึงภาคเอกชนร่วมให้บริการ
ก่อนหน้านี้ เคยมีความพยายามเพิ่มการเข้าถึงบริการทันตกรรมในกลุ่มประชากรเสี่ยง โดยจัดตั้ง “กองทุนทันตกรรม” ภายใต้การบริหารของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
กองทุนดังกล่าวแยกงบประมาณด้านบริการทันตกรรมออกจากงบผู้ป่วยนอก แล้วนำมาจัดสรรเป็นงบประมาณเฉพาะ เพื่อส่งเสริมให้สถานพยาบาลทำงานทันตกรรมด้านส่งเสริมและป้องกันโรค เช่น อุดฟันและเคลือบหลุมร่องฟันป้องกันฟันผุ เน้นให้บริการกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ หน่วยบริการยังสามารถเสนอโครงการเข้ามาที่ สปสช. เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กองทุนทันตกรรมกลับถูกยุบไปอย่างเงียบ ๆ ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองภายในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับการรัฐประหารปี 2557
ทำให้หน่วยบริการหลายแห่งจำเป็นต้องปิดโครงการอย่างน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่โครงการเหล่านั้นมีผลลัพธ์ที่ดี ในแง่ของการเพิ่มการเข้าถึงบริการทันตกรรมให้ประชากรกลุ่มเสี่ยง
นพ.จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่าปัจจุบัน สปสช.ยังคงส่งเสริมงานทันตกรรมด้านส่งเสริมและป้องกันโรคในกลุ่มเด็กวัยเรียนและหญิงตั้งครรภ์ โดยดึงงบงบประมาณในกองทุนส่งเสริมและป้องกันโรค มาจ่ายให้โรงพยาบาลตามรายการบริการทันตกรรมที่ให้กับผู้ป่วย
“ส่วนในเรื่องคิวยาว เราต้องนั่งคุยอีกพอสมควร” นพ.จักรกริช กล่าว
“ในอนาคต มองว่าฟันเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีการจัดบริการส่งเสริมและป้องกันโรคให้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังอยู่ในสังคมผู้สูงอายุ ฟันจะเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าฟันไม่ดี กินไม่ได้ อาหารก็ไม่ถึง สร้างปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ให้กับผู้สูงอายุ”
อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการทันตกรรม ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐมิได้ขยับตาม เพราะเห็นว่าการทำฟันไม่ใช่บริการหลัก รวมทั้งยังมีการเมืองภายใน ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ และภาระงานที่ล้นเกินของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ทันตแพทย์จำนวนหนึ่งจึงเสนอให้รัฐดึงคลินิกเอกชนเข้าร่วมให้บริการทันตกรรม เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคฟันและบริการส่งเสริมและป้องกันโรค (อ่านเพิ่มเติมที่ ทันตกรรมเขตเมืองเหลื่อมล้ำสูง เสนอดึง “เอกชนร่วมรัฐ” ให้บริการ)
ปัจจุบัน มีเก้าอี้ทำฟันในประเทศไทย 9,732 ตัว เป็นของคลินิกเอกชน 4,681 ตัว เฉลี่ยคลินิก 1 แห่ง มีเก้าอี้ทำฟันเฉลี่ย 2.5 ตัว
“เก้าอี้ทำฟันของเอกชนมีเยอะมาก ทำอย่างไรเราจะดึงภาคเอกชนเข้ามาให้บริการร่วมกับรัฐ” ผศ.ทพ.ดร.ทรงวุฒิ ตวงรัตนพันธ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานเครือข่ายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพช่องปาก กล่าว
ผศ.ทพ.ดร.ทรงวุฒิ เสนอว่า สปสช.สามารถทำสัญญากับคลินิกเอกชน แล้วตามจ่ายค่าบริการทันตกรรมตามรายการให้กับคลินิก หรือโรงพยาบาลภาครัฐสามารถประสานกับคลินิกในพื้นที่ แล้วตกลงกันในเรื่องราคา เป็นการทำงานในลักษณะรัฐร่วมเอกชน หรือ Public-Private Partnership
“Partnership ต้องอยู่ในลักษณะที่เสมอภาค คือทั้ง 2 ฝ่ายมาเรียนรู้ด้วยกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หากมองในเชิงโครงสร้าง ต้องมีการกระจายอำนาจมาที่ สปสช. เขต ให้สามารถบริหารจัดการได้ยืดหยุ่นขึ้น”
เขียน : ปริตตา หวังเกียรติ
- 1085 views