ปัญหาพิษภัยอันตรายของสารพิษร้ายแรง 3 ชนิดที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในขณะนี้ เปรียบเสมือนสมรภูมิรบ ระหว่างคนส่วนน้อย ที่อยากจะขายสารพิษ กับคนส่วนใหญ่ที่อยากจะมีสุขภาพดี เรื่องนี้คนไทยทั้งสังคมต้องไม่อยู่เฉย โดยเฉพาะ “นักรบไทย” เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับคนไทยทุกคน ทั้งคนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันและคนที่ยังไม่เกิดมา
การทำสงครามทำลายล้างชีวิต โดยไม่ต้องใช้ปืน
โดยการหลอกลวงสังคมครั้งใหญ่ว่าจำเป็นต้องใช้สารพิษในการผลิตอาหาร จึงจะมีอาหารกินพอเพียง สารพิษคือสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของโรคมะเร็ง คนไทยตายจากโรคมะเร็ง เป็นอันดับหนึ่ง ต่อเนื่องมามากกว่า 15 ปีแล้ว แต่ละปีมีคนเป็นโรคมะเร็งรายใหม่ 120,000 คน เสียชีวิต 80,000 คน [1] หรือคิดเป็นเสียชีวิต ชั่วโมงละ 9 คน เท่ากับเครื่องบินที่บรรทุกผู้โดยสารลำละ 300 คน ตกปีละ 266 ลำ !
ยังไม่นับสารพัดโรคร้ายอื่นๆ เช่น โรคทางสมอง โรคระบบต่อมไร้ท่อ โรคระบบภูมิคุ้มกัน โรคเนื้อเน่า [2] สร้างความทุกข์ทรมานให้กับครอบครัวคนไทยเหลือคณานับ
ค่ายารักษามะเร็งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางตัวสูงถึงปีละ 1,500,000 บาท ระหว่างปี พ.ศ.2559-2561 มีการเบิกจ่ายค่ารักษาโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีผู้ป่วยโรคมะเร็งเข้ารับรักษาอย่างต่อเนื่อง 4,117,504 ครั้ง มีการชดเชยค่ารักษากว่า 26,679 ล้านบาท [3]
เงินไหลออกนอกประเทศเหมือนเลือดที่ไหลออกจากร่างกายไม่หยุด เป็นการปล้นสะดมแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้อาวุธมาข่มขู่
แม้แต่ คนที่ยังไม่เกิดมา ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ก็ยังได้รับผลกระทบ
สารพิษยังทำลายอนาคตของประเทศ คือ เด็กในครรภ์มารดา ที่ยังไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลก
สารพิษทำให้รกของมารดาทำงานผิดปกติ ทำให้แท้งง่าย สารพิษจากมารดาไหลสู่เด็กทารก ก่อให้เกิดความพิการ เป็นโรคมะเร็ง โรคออติสติก สมาธิสั้น โรคระบบต่อมไร้ท่อหลายชนิด หัวสมองเล็ก [4][5][6][7]
ถ้าเราปล่อยให้ปัญหานี้ดำรงอยู่อย่างนี้ ในที่สุดระบบต่างๆในสังคมจะล่มสลาย เพราะผู้ใหญ่ในประเทศก็เจ็บป่วยด้วยสารพัดโรคร้าย เด็กๆที่จะมาแบกรับภารกิจของครอบครัวและสังคมก็กลายเป็นผู้ป่วย ผู้พิการง่อยเปลี้ย กลับเป็นภาระอันหนักอึ้งของครอบครัวและสังคมโดยรวม
มีการคาดการณ์ว่า สถิติเด็กเป็นโรคออติสติก จะสูงถึง ร้อยละ 50 หรือ เกิดมา 2 คน เป็นโรคออติสติก 1 คน ภายในปี ค.ศ. 2025 [8]
เป็นปัญหาที่ผู้ที่ทำกำไรจากการค้าสารพิษและผู้สนับสนุนสารพิษไม่ต้องรับผิดชอบ
ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยเรื่องอาหารไปเสียแล้ว
“นักรบไทย” มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ แต่เรื่องนี้ชี้ว่า เราสูญเสียอธิปไตยให้เขาไปเสียแล้ว
แม้หลายฝ่ายจะพยายามออกมาเรียกร้องให้ ห้ามใช้ ห้ามจำหน่าย สารพิษร้ายเหล่านี้ โดยเด็ดขาด (ban) แต่รัฐบาลที่ผ่านมาตอบสนองเพียง ปล่อยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กรมวิชาการเกษตรชงเรื่องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติเพียงให้ใช้มาตรการจำกัดการใช้ หรือควบคุมการใช้ สารพิษ ทั้ง 3 ชนิดอย่างเข้มงวดเท่านั้น
ทั้งๆที่รู้ว่า มาตรการนี้ไม่เคยทำได้จริง ประชาชนทั่วไปยังหาซื้อสารพิษเหล่านี้ได้อย่างง่ายได้ แม้กระทั่งทางออนไลน์
ดูได้จากสถิติการนำเข้าสารพิษ ที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นปีละ 200 ล้านกิโลกรัมไปแล้ว [9] นั้นคือคนไทย 66 ล้านคนแบกรับไป เฉลี่ยคนละ 3 กิโลกรัมไปทุกๆปี สังคมไทยจึงเต็มไปด้วยคนขี้โรค
ปรากฏการณ์ที่ผ่านมา ดูจากการมีมติของกรรมการวัตถุอันตรายหลายครั้ง ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ต้องการหรือไม่สามารถปกป้องคุ้มครองสุขภาพคนไทยได้ ทั้งๆที่มีอำนาจเต็มในมือ
สังคมไทยตื่นแล้ว แต่อาจจะพ่ายแพ้สงคราม
เมื่อข่าวสารเรื่องพิษภัยของสารเคมีอันตรายเผยแพร่ออกไป จนเกิดความตื่นตัวครั้งใหญ่ในสังคมไทย มีรัฐมนตรีที่รับผิดชอบกรมวิชาการเกษตร คือ คุณมนัญญา ไชยเศรษฐ์ เดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ประกาศจะให้ของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน โดยการแบนสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิด ภายในวันที่ 1 ธันวาคม ปีนี้ และรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวงก็ได้ประกาศจุดยืนเคียงข้างประชาชนแล้วเช่นกัน
แต่ฝ่ายค้าสารพิษก็สู้ไม่ถอย มีตัวแทนดาหน้ากันออกมาปลุกระดมเกษตรกร เรียกร้องกดดันรัฐบาลว่า จำเป็นต้องใช้สารพิษผลิตอาหารต่อไป ทั้งๆที่ใช้สารพิษมาหลายสิบปี ก็ไม่ได้ทำให้ตนหลุดพ้นจากความยากจนเลย หนี้สินกลับพอกพูน ทั้งจากการผลิตที่ล้มเหลว และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ไม่เอามาคิด แต่ยังขอเอาโซ่ตรวนมาผูกขาตนเองและสังคมต่อไป
สงครามรูปแบบใหม่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งบนดินและใต้ดิน ปรากฏให้เห็นทางสื่อสังคมต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องสงครามระดับนานาชาติ ที่อีกฝ่ายก็แสดงตัวออกมาให้เห็นแล้วว่า “แพ้ไม่ได้”
“นักรบไทย” ที่ถนัดแต่จับปืนสู้รบกับศัตรูที่มองเห็นเป็นตัวเป็นๆ จะมียุทธศาสตร์การสงครามอะไรมาสู้กับเขาได้ไหม จะปกป้องสุขภาพคนไทยได้ไหม จะรักษาอธิปไตย การตัดสินใจเรื่องอาหารของประเทศได้ไหม
แต่ถ้าเราแพ้ครั้งนี้ ประชาชนคนไทยทั้งหลาย (ซึ่งส่วนหนึ่งคือผู้ที่ค้าสารพิษและผู้สนับสนุนสารพิษด้วยเช่นกัน) คงทำได้เพียงกลืนสารพิษเข้าปากไปทุกๆวัน เช่นเดิม
รอให้ป่วยเป็นมะเร็ง ใช้เงินที่สะสมมาทั้งชีวิตจ่ายเป็นค่ายารักษาพยาบาล แล้วก็เสียชีวิตไป อย่างไร้ค่า
ผู้เขียน : ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ และ รศ.ดร.ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์
ขอบคุณภาพจาก thaipan
เอกสารอ้างอิง
[1] http://www.cancerindex.org/Thailand
[2] https://tinyurl.com/y4nzfzwn
[3] https://www.gettgo.com/blog/check-medical-expense-cancer
[4] DOI:10.1021/tx1001749
[5] DOI:10.1289/ehp.10168
[6] DOI: 10.4024/11SA15R.jbpc.15.03
[7] http://dx.doi.org/10.16966/2379-7150.140
- 49 views