‘นิมิตร์’ ค้านข้อเสนอให้ประชาชนซื้อประกันสุขภาพเอง ชี้เป็นฐานคิดของธุรกิจแบบกำไร-ขาดทุน ไม่มีบริษัทประกันภัยที่ไหนในโลกยอมให้ตนเองขาดทุนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เจ็บป่วย ตรงกันข้ามกับวิธีคิดของรัฐและระบบสาธารณสุขที่ต้องเห็นชีวิตคนอยู่เหนือกำไรของรัฐ
นายนิมิตร์ เทียนอุดม
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์และอดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า แนวคิดการให้ประชาชนรับภาระค่ารักษาด้วยการทำ 'ประกันสุขภาพ' แทนการมี 'หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า' เป็นเรื่องที่รับไม่ได้และไม่ใช่ความคิดของคนที่ต้องการจะช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน แนวคิดดังกล่าวนั้นวางอยู่บนฐานคิดของธุรกิจแบบกำไร-ขาดทุน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีบริษัทประกันภัยที่ไหนในโลกยอมให้ตนเองขาดทุนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เจ็บป่วย ตรงกันข้ามกับวิธีคิดของรัฐและระบบสาธารณสุขที่ต้องเห็นชีวิตคนอยู่เหนือกำไรของรัฐ
"ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในสหรัฐฯ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพในราคาย่อมเยาได้ เพราะรัฐไม่อุดหนุนสวัสดิการให้ คนเกือบทั้งประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับโรงพยาบาลจำนวนมหาศาล จึงชวนให้คิดกันต่อว่า ประเทศไทยเดินมาไกลมากเรื่องสวัสดิการสุขภาพ เหตุใดจึงมีความคิดที่จะพาประเทศลงเหวด้วยการผลักภาระให้กับประชาชน"
นายนิมิตร์ ยังกล่าวถึงปัจจัยปัญหาที่ทำให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่องว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประการหลัก
ประการแรก เกิดจากรัฐอุดหนุนงบประมาณในระบบประกันสุขภาพอย่างบัตรทองไม่พอ หรือกล่าวง่ายๆ คือ รัฐจ่ายให้น้อยเกินกว่าความเป็นจริง ผลคือโรงพยาบาลหลายแห่งเกิดภาวะขาดสภาพคล่อง และเมื่อดูกันต่อถึงสัดส่วนรายจ่ายของโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะพบว่าเกินครึ่งของงบประมาณ เป็นเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์
ประการที่สอง คือการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเกี่ยวพันกับงบประมาณที่รัฐอุดหนุน โดยปกตินั้นรัฐจะจัดสรรงบประมาณตามจำนวนประชากรในพื้นที่ หมายความว่ายิ่งในพื้นที่ที่ประชากรมีจำนวนมากโรงพยาบาลก็จะยิ่งได้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าในความเป็นจริงโรงพยาบาลหลายแห่งที่เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องนั้นมาจากการที่มีหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลมากเกินกว่าจำนวนประชากรในพื้นที่
และประการสุดท้าย คือ ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างระบบสุขภาพทั้ง 3 ประเภท คือ สวัสดิการรักษาพยาบาลของราชการ ประกันสังคม และบัตรทอง โดยบัตรทองนั้นได้งบประมาณรายหัวน้อยกว่าสวัสดิการของราชการถึง 3 เท่าตัว
"ที่ผ่านมารัฐรับรู้เรื่องนี้มาตลอดและมีความพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เช่น การเพิ่มงบฯ พิเศษให้โรงพยาบาลในพื้นที่ที่มีประชากรเบาบาง เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้จำนวนโรงพยาบาลที่ขาดทุนสะสมที่แต่เดิมมีเป็นร้อยแห่งนั้นลดลงจนเหลือหลักสิบเท่านั้น" นายนิมิตร์ กล่าว
ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ประกันสังคม และบัตรทอง สิทธิประโยชน์แตกต่างกันอย่างเทียบไม่ติด และหากลงรายละเอียดไปที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายจะพบว่างบประมาณของบัตรทองที่ดูแลโดย สปสช. เป็นกลุ่มเดียวที่ต้องแบ่งงบประมาณจากค่ารักษาพยาบาลไปเป็นค่าแรงบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งที่เป็นกลุ่มที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐน้อยที่สุด สิ่งที่รัฐต้องทำคือ การสร้างระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว ทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนทุกคนได้รับบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน
“เราเป็นประเทศที่รัฐใช้งบไปกับสุขภาพพลเมือง เพียง 4.6 ของ GDP ประเทศ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ประชาชนได้ แต่มาวันนี้กลับมีคนพยายามจะล้มมัน”
ทั้งนี้ นางสาวสารี ได้เสนอโมเดลการเก็บภาษีน้ำตาลเพื่อนำมากระจายให้กับระบบสาธารสุขและอุดรูรั่วของงบประมาณรัฐในฐานะตัวการก่อโรค โดยใช้หลักการเดียวกับการนำภาษีบาปมาพัฒนาประเทศ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหลายภูมิภาคอย่างอังกฤษ สหรัฐอเมริกา บราซิล ฝรั่งเศส
- 9 views