มหาวิทยาลัยลอนดอนร่วมมือกับนักวิชาการไทย วิจัยปัญหาระบบสุขภาพ พบความเสี่ยงขาดแคลนพยาบาล คาดปี 63 ไทยจะขาดแคลนพยาบาล 5 หมื่นคน เสนอ 4 แนวทางแก้ปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่การคัดเลือกนักศึกษา การปรับปรุงหลักสูตร การพัฒนาอาจารย์ การให้ทุนการศึกษา และการกระจายพยาบาลวิชาชีพสู่ภาคชนบท เตรียมเสนอคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 14-15 มี.ค.59 ณ โรงแรมรอยัลออคิดเชอราตัน กรุงเทพมหานคร มีการประชุมวิชาการเกี่ยวกับ บทบาทของสถาบันการศึกษาภาคเอกชนในการผลิตกำลังคนด้านสุขภาพ (Role of private sector training institutions In Human Resources for Health: training and beyond) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิในวงการแพทย์และพยาบาลทั้งในและต่างประเทศกว่า 50 คน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำเสนอผลงานการวิจัยโครงการ Resilient and Responsive Health Systems (RESYST) Consortium ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 7 ประเทศ ได้แก่ แอฟริกาใต้ แทนซาเนีย เคนยา ไนจีเรีย อินเดีย เวียดนาม และไทย ภายใต้การสนับสนุนของวิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยลอนดอน (London School of Hygiene and Tropical Medicine, University of London)
นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ที่ปรึกษาอาวุโสและเลขาธิการมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ในฐานะนักวิจัยหลักในโครงการ RESYST เปิดเผยว่า การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มุ่งเน้นบทบาทของสถาบันการศึกษาภาคเอกชนในการผลิตพยาบาล เพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล ให้เกิดกระจายกำลังคนและการบริการสาธารณสุขไปยังพื้นที่ห่างไกล นำไปสู่ความเท่าเทียมด้านสุขภาพระหว่างเขตเมืองและชนบท ที่แต่ละประเทศจะนำไปเสนอหน่วยงานผู้กำหนดนโยบายพิจารณากำหนดเป็นแนวทางแก้ไขต่อไป
สำหรับประเทศไทย ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาพยาบาลที่จบการศึกษาจากสถาบันของรัฐ ส่วนใหญ่มีความประสงค์ที่จะทำงานในหน่วยงานของรัฐ ในขณะที่นักศึกษาจากสถาบันเอกชนส่วนใหญ่ต้องการทำงานในหน่วยงานเอกชน เพราะได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่า สามารถชดเชยกับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนและค่าเล่าเรียนที่แพงกว่าสถาบันของรัฐได้ ส่งผลให้จำนวนพยาบาลกระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่ ไม่กระจายไปยังหน่วยงานของรัฐที่ในชนบทห่างไกล ทั้งที่ทัศนคติของนักศึกษาส่วนใหญ่พอใจที่จะกลับไปทำงานในภูมิลำเนาเดิมในชนบท
ทั้งนี้ มีข้อเสนอเชิงนโยบายจากการวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
1.นโยบายด้านการคัดเลือกและการรับเข้าศึกษา โดยสถาบันการศึกษาพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนควรดำเนินนโยบายการคัดเลือกนักเรียนจากพื้นที่ชนบทต่อไป และกระจายสถาบันการศึกษาเพื่อจัดการศึกษาในพื้นที่ให้มากขึ้น ทำให้เกิดการจ้างงานในบ้านเกิด ช่วยส่งเสริมการธำรงรักษาพยาบาลไว้ในชนบท
2.การพัฒนาหลักสูตร ควรเน้นให้นักศึกษามีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานในชนบท และควรมีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนโดยเพิ่มเนื้อหาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพให้มากขึ้น เช่น ความเสมอภาคทางด้านสุขภาพ นโยบายสุขภาพ ความเข้าใจความหลากหลายด้านวัฒนธรรม และการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการปฏิบัติงานเข้าไปในหลักสูตร
3.การพัฒนาอาจารย์ ควรกำหนดให้การมีประสบการณ์ทำงานในชนบทเป็นเกณฑ์หนึ่งในการคัดเลือกเข้าทำงาน ควรพัฒนาคุณภาพอาจารย์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา และการวางแผนพัฒนากำลังคนพยาบาลเพื่อรับมือกับประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นและอัตราการขาดแคลนพยาบาล ที่คาดว่าจะสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า
4.กระทรวงสาธารณสุข รัฐบาลหรือโรงพยาบาลในชนบท ควรให้ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ เพื่อเพิ่มโอกาสการกลับไปทำงานยังบ้านเกิดภายหลังจบการศึกษา และเพิ่มอัตราการคงอยู่ในพื้นที่ชนบทที่ต้องการกำลังคนพยาบาลในการดูแลสุขภาพ และแสวงหาความร่วมมือทั้งจากสถาบันการศึกษาภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนการผลิตพยาบาลให้เพียงพอกับความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
“การประชุมในครั้งนี้เป็นการถอดบทเรียนและนำเสนอผลงานวิจัยของประเทศที่มีความร่วมมือกัน ซึ่งในส่วนของไทยจะนำประเด็นที่เป็นประโยชน์ของแต่ละประเทศ มาปรับปรุงประยุกต์ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศเพิ่มเติมเข้าไปในงานวิจัย เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติที่มี นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นประธาน เพื่อพิจารณาผลักดันเป็นนโยบายแก้ปัญหากำลังด้านสุขภาพในด้านพยาบาลต่อไป”
นางกฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาพยาบาลคนที่ 2 ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยในโครงการ RESYST กล่าวว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 ความต้องการพยาบาลในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากการดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกอบกับการเพิ่มของประชากรสูงอายุและมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งในอนาคตจะเป็นปัญหาวิกฤตรุนแรงหากไม่มีการแก้ไข โดยสภาการพยาบาลไทยคาดว่าในปี พ.ศ.2563 จะมีการขาดแคลนพยาบาลประมาณ 50,000 คน
ปัจจุบันประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาด้านพยาบาลทั้งสิ้น 85 แห่ง แบ่งเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ 52 แห่ง และสถาบันศึกษาเอกชน 23 แห่ง สามารถผลิตพยาบาลรวมได้ปีละประมาณ 10,000 คน โดยหากมีความร่วมมือกันระหว่างสถาบันของรัฐและเอกชนในการให้ทุนการศึกษา การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก จูงใจให้มีการเรียนพยาบาล คาดว่าจะสามารถผลิตได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละประมาณ 12,000 คน
“สำหรับค่าใช้จ่ายค่าใช้จ่ายในเรียนพยาบาลตลอดระยะเวลา 4 ปี อยู่ที่ประมาณ 480,000 บาท/คน หากเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐจะมีงบประมาณสนับสนุนให้ส่วนหนึ่ง แต่สำหรับสถาบันของเอกชนนักศึกษาต้องจ่ายเองทั้งหมด ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร ดังนั้นหากมีการสนับสนุนนักศึกษาในสถาบันเอกชน โดยเฉพาะนักศึกษาที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด คาดว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตพยาบาลและกระจายกำลังคนกลับไปทำงานที่พื้นที่ของตนเองได้มากขึ้น” นางกฤษดา กล่าว
ด้าน นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานอนุกรรมการวางแผนกำลังคน คณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบัน สถาบันการศึกษาด้านพยาบาลภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในการผลิตกำลังคนพยาบาลของประเทศ จึงควรมีการส่งเสริมสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาภาคเอกชนผลิตกำลังคนด้านสุขภาพที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาในปัจจุบัน โดยข้อเสนอที่ได้จากการประชุมวิชาการครั้งนี้จะถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังคนด้านพยาบาลของประเทศต่อไป
- 81 views