จี้ออกบัตรรับรอง 'เด็กไร้สัญชาติ' นำร่อง จ.ตาก-ชง 'ครม.' คืนสิทธิสาธารณสุข

นสพ.ข่าวสด : อนุ กก.ผู้ไร้สัญชาติ สภาทนายความ เผย กรมการปกครองร่วมกับศึกษาธิการ นำร่องแก้ปัญหาเด็กนักเรียนไร้สถานะ จ.ตาก กว่า 1 พันคน ทุกคนต้องมีเลข 13 หลักและบัตรแสดงตนเพื่อได้สิทธิการศึกษา ก่อนขยายเพื่อแก้ปัญหากลุ่มนักเรียนไร้สถานะทั่วประเทศที่มีกว่า 7 หมื่นคน ส่วนสิทธิด้านสุขภาพ สธ.เตรียมเสนอ ครม.คืนสิทธิ

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับ ร.ร.สันถวไมตรีศึกษา อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามการแก้ปัญหาเลขทะเบียนเพื่อแสดงสถานะให้กับเด็กไร้สัญชาติในสถานศึกษา โดยขณะนี้มีหนังสือสั่งการของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. 2558 เพื่อจัดบัตรประจำตัวสำหรับผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย ให้กับเด็กนักเรียน ร.ร.เอกชนการกุศล 7 แห่งในพื้นที่ อ.แม่สอด ได้แก่ โรงเรียนราษฎร์วิทยา โรงเรียนภัทรวิทยา โรงเรียนธรรมวัตรวิทยา โรงเรียนอิสลามศึกษา โรงเรียนสันถวไมตรีศึกษา โรงเรียนศิริวรรณศึกษา และโรงเรียนอนุกูลวิทยา ทั้งหมด 334 คน ซึ่งต้องหารือกับปลัดอำเภอ หน้างานทะเบียนอำเภอแม่สอด นายทะเบียนเทศบาลตำบลท่าสายลวด และเทศบาลตำบลแม่กุ ออกบัตรประจำตัวให้ภายในเดือน ก.พ.นี้

ขณะเดียวกันสำนักงานพื้นที่การศึกษา เขต 2 ซึ่งรับผิดชอบใน 5 อำเภอชายแดน ตั้งแต่ อ.ท่าสองยาง อ.แม่ระมาด อ.แม่สอด อ.พบพระ และ อ.อุ้มผาง เตรียมจัดประชุมร่วมกับโรงเรียนรัฐบาลในสังกัด ภายในเดือน มี.ค. นี้ เพื่อดำเนินการให้เด็กนักเรียนที่ยังไม่มีเลขทะเบียน 13 หลัก ได้รับการจัดทำเลข และบัตรทุกคน

ซึ่งข้อมูลเบื้องต้น พบว่า จ.ตาก มีเด็กที่ไม่มีเลข 13 หลักอยู่ 9,000 คน โดยเฉพาะ อ.แม่สอด มีจำนวนกว่า 1,000 คน อีกทั้ง กรมการปกครอง ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำลังเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องเด็กไร้สถานะ โดยจะให้เด็กในโรงเรียนทุกคนต้องมีเลข 13 หลัก และมีบัตรแสดงตน ซึ่งหวังว่าเด็กกลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มนำร่องที่นำไปสู่การแก้ปัญหาเรื่องเด็กนักเรียนไร้สถานะทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุมีเด็กนักเรียนไร้สถานะทั่วประเทศไทยกว่า 70,000 คน ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้คืนสิทธิแก่เด็กในด้านสาธารณสุขอีกด้วย

ที่มา : นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 ก.พ. 2559