หมอหทัย เผย คดี ฟิลลิปมอร์ริส บริษัทยักษ์ใหญ่บุหรี่ข้ามชาติ เลี่ยงภาษี 6.8 หมื่นล้าน ไม่คืบ ปล่อยไว้นานหวั่นคดีหมดอายุความ ผู้ต้องหาหลบหนี ตายจาก แถมรัฐเสียหาย สูญรายได้เพิ่มรวมกว่า 2.15 แสนล้าน เตรียมรวบรวมข้อมูลเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเร็วๆ นี้
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 58ที่โรงแรม เดอะสุโกศล นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย และประธานรัฐภาคีกฎหมายบุหรี่โลก ขององค์การอนามัยโลก (2550-2551) แถลงข่าวเรื่อง "ฟิลลิปมอร์ริส หลบเลี่ยงภาษีบุหรี่มากกว่า 68,000 ล้าน จะรอให้หมดอายุความหรือ รัฐควรรีบดำเนินการโดยด่วน" จัดโดยสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ว่า คดีบริษัท ฟิลลิปมอร์ริส หลีกเลี่ยงภาษีถือเป็นมหากาพย์ เพราะตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2552 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีหนังสือถึงอัยการสูงสุด พร้อมสำเนาการสอบสวนและพยานหลักฐาน 21 ลัง มีความเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ขณะที่วันที่18 ม.ค. 2553 กระทรวงพาณิชย์แจ้งดีเอสไอว่า บริษัทดังกล่าวละเมิดกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2554 พนักงานอัยการกลับมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี โดยสมัยนั้นเป็นยุครัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายค้านได้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลเรียกดีเอสไอและอัยการประชุมหารือ เป็นผลให้อัยการไม่ฟ้องคดี ถัดมาวันที่ 2 ต.ค. 2556 นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัยการสูงสุดคนใหม่แถลงว่า ก่อนที่นายจุลสิงห์ วสันต์สิงห์ อัยการสูงสุดคนเดิมจะเกษียณอายุราชการ ได้เซ็นคำสั่งฟ้องบริษัท ฟิลลิปมอร์ริส ซึ่งนับตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงขณะนี้ ไม่ปรากฏข่าวเกี่ยวกับคดีนี้อีก ทำให้มีความกังวลว่าจะมีการยื้อไปจนคดีนี้หมดอายุความ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง
“หลังจากนี้จะรวบรวมข้อมูลและข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สั่งผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสอบสวนคดีนี้ให้แล้วเสร็จและมีการติดตามผล ในการพิจารณาคดีเสนอว่าควรให้นักวิชาการด้านต่างๆ เข้าร่วมพิจารณาคดีด้วย เช่น นักวิชาการด้านยาสูง นักวิชาการกระทรวงพาณิชย์ นักวิชาการที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับยาสูบเป็นอย่างดี น่าจะเข้ามาร่วมให้ข้อมูลเพื่อพิจารณาคดีได้ ไม่ใช่ให้มีการพิจารณาคดีอยู่เพียงเฉพาะคนกลุ่มเดียว" นพ.หทัย กล่าว
รศ.สุชาดา ตั้งทางธรรม อาจารย์ประจำสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ตามปกติเมื่อนำเข้าบุหรี่เข้ามาในประเทศไทยจะต้องสำแดงราคา (ราคาซีไอเอฟ) ซึ่งเป็นราคาที่รวบรวมต้นทุนทุกอย่างหมดแล้ว รวมไปถึงค่าขนส่งสินค้ามายังประเทศไทย แต่ปรากฏว่าราคาที่บริษัทฟิลลิปมอร์ริสแจ้งมานั้น ราคาต่ำกว่าบริษัทอื่นที่นำเข้าเป็นจำนวนมาก เช่น บุหรี่มาร์โบโล บริษัทฟิลลิปมอร์ริสสำแดงราคาซองละ 7.76 บาท บริษัทคิงพาวเวอร์ ซองละ 27.46 บาท บริษัทการบินกรุงเทพอยู่ที่ซองละ30.39 บาท เป็นต้น หรือบุหรี่แอลแอนด์เอ็ม บริษัทฟิลลิปมอร์ริส สำแดงราคาซองละ 5.88บาท บริษัทคิงพาวเวอร์ ซองละ 16.81 บาท เป็นต้น
“การสำแดงราคาซีไอเอฟต่ำกว่าบริษัทอื่น 3-4 เท่า ทำให้ข้องใจว่าเป็นวิธีการหนีภาษีหรือไม่ ซึ่งเมื่อนำราคาที่ต่างกันมาคำนวณกับปริมาณการนำเข้าแล้วพบว่า ช่วงปี2546 - ก.พ. 2550 บริษัท ฟิลลิปมอร์ริส สำแดงราคานำเข้าที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้จากภาษีอากรประมาณ 68,881 ล้านบาท ซึ่งหากคำนวณจนถึงปัจจุบันโดยสมมติให้ส่วนต่างของราคานำเข้าและปริมาณนำเข้าเท่าเดิม พบว่า ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีไปอีกราว147,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับความสูญเสียเดิมเท่ากับรัฐบาลอาจสูญเสียรายได้จากภาษีบุหรี่นำเข้าแล้วถึง 215,000 ล้านบาท” รศ.สุชาดา กล่าว
นายวศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความ สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการจดทะเบียนบริษัท พบว่า บริษัทฟิลลิปมอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จดทะเบียนในประเทศสหรัฐและเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมยาสูบกลุ่มบริษัทฟิลลิปมอร์ริส ซึ่งพบ 3 ประเด็น คือ 1.การวางแผนภาษีที่ไม่สุจริต ซึ่งมีข้อสังเกตว่าการวางแผนภาษีโดยสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริงนั้นอาจหมิ่นเหม่ต่อการเลี่ยงภาษี 2. ความเป็นนิติบุคคลเดียวกัน ซึ่งบริษัทฟิลลิปมอร์ริส ไทยและฟิลลิปปินส์ เป็นบริษัทเครือเดียวกัน ซึ่งมีฟิลลิปมอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล ในสหรัฐถือหุ้น 100% ซึ่งแสดงถึงการเป็นนิติบุคคลเดียวกัน และใช้ความเป็นนิติบุคคลเดียวกันนี้หลีกเลี่ยงภาษี และ 3.วัตถุประสงค์ที่แท้จริง จากการเป็นบริษัทเดียวกัน สามารถถ่ายเทต้นทุนค่าใช้จ่ายระหว่างกันได้ จึงสามารถกำหนดราคาให้ต่ำเพื่อทุ่มตลาดแข่งขันกับโรงงานยาสูบไทย ซึ่งก่อให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้นซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพคนไทย
นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สำหรับการฟ้องร้องเรื่องดังกล่าวนั้น อัยการสูงสุดได้มีความเห็นสั่งฟ้องเมื่อเดือนกันยายน 2556 มีความเห็นสั่งฟ้อง บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด กับผู้ต้องหา 12 คน เป็นชาวต่างชาติ 4 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว 1 ราย ซึ่งชาวต่างชาติซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทฯ ได้หลบหนีการจับกุมไปแล้ว ซึ่งอัยการฝ่ายคดีพิเศษได้เคยทำหนังสือเรียกผู้ต้องหาทั้งหมด มารับทราบข้อกล่าวหาในช่วงปลายปี 2556 แต่อัยการได้เลื่อนสั่งคดีไปช่วงกลางเดือนมกราคม 2557 ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถตามผู้ต้องหามาสอบสวนได้ ซึ่งหากไม่รีบดำเนินการจะทำให้ขาดอายุความ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็จะทำให้เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย
- 88 views