กรมควบคุมโรคตั้งโต๊ะแถลงสยบข่าวลือ ผู้แสวงบุญฮัจญ์ป่วยโคโรนาไวรัส ยัน 4 ราย ที่นราธิวาสป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่และเชื้อชนิดไม่รุนแรง ส่วนที่ยะลาไม่เข้าข่าย 1 ใน 3 อาการเฝ้าระวังของโรคเลย ระบุเตรียมเฝ้าระวังต่ออีก 30 วัน
วันนี้ (28 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวกรณีพบผู้แสวงบุญที่เดินทางกลับมาจากพิธีฮัจญ์ ประเทศซาอุดิอาระเบียมีอาการป่วยคล้ายโรคโคโรนาไวรัส ว่า ขณะนี้มีผู้แสวงบุญเดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์ รวมทั้งหมด 4,561 คน รวม 42 เที่ยวบิน จากทั้งหมด 10,400 คน โดยลงเครื่องที่สนามบินนราธิวาส ภูเก็ต และหาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 22-27 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งกรมควบคุมโรคได้จัดระบบเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางกลับจากประกอบพิธีฮัจญ์อย่างต่อเนื่อง โดยผู้แสวงบุญกลุ่มสุดท้ายจะเดินทางกลับมาในวันที่ 14 พ.ย.นี้
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีผู้แสวงบุญที่มีอาการป่วยคล้ายโรคโคโรนาไวรัสนั้น พบว่า มีผู้เข้าข่ายต้องเฝ้าระวังโรคตามนิยามทั้งหมด 4 ราย เป็นผู้หญิงทั้งหมด รักษาตัวที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งอาการที่เข้าข่ายต้องเฝ้าระวังมีทั้งหมด 3 ข้อ คือ 1.ปอดบวมรุนแรง 2.มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เกิดการระบาด และ 3.มีผู้ป่วยเกิน 2 รายขึ้นไปในชุมชนเดียวกัน ซึ่งหากมีอาการเข้าข่ายเพียง 1 ใน 3 ข้อก็ต้องเฝ้าระวังแล้ว รวมไปถึงคนใกล้ชิดด้วย อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการไม่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2012 แต่อย่างใด โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคถุงลมโป่งพอง ผู้ป่วยได้รับการรักษาตามแนวทางปกติและมีอาการดีขึ้นแล้วทุกราย ส่วนผู้ป่วยที่เป็นข่าวอีก 3 ราย ที่ อ.เบตง จ.ยะลา นั้น ไม่เข้าข่ายเฝ้าระวังโรคตามนิยาม
“ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยเชื้อโคโรนาไวรัสแต่อย่างใด แต่ทางกรมได้คาดการณ์แล้วว่า จำนวนผู้ที่เดินทางกลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์ จะมีผู้ป่วยเข้าข่ายต้องสงสัย 1 ต่อ 1,000 เมื่อเดินทางกลับมาแล้ว 4,000 กว่าราย ก็พบผู้ป่วยต้องสงสัย 4 ราย เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจากนี้จะมีการเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางกลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์ต่อไปอีก 30 วัน” อธิบดี คร.กล่าวและว่า หากผู้ที่ไปแสวงบุญฮัจญ์ไม่สบาย เช่น มีไข้ ไอ หายใจหอบ เหนื่อย ฯลฯ ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางในต่างประเทศที่ผ่านมา เพื่อให้การดูแลอย่างถูกต้อง ซึ่งผู้ที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีจะได้รับแจกบัตรคำแนะนำสุขภาพทุกคน เพื่อให้สังเกตอาการหลังเดินทางกลับ
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดี คร.กล่าวว่า ผลการตรวจในห้องปฏิบัติการของผู้ที่เข้าข่ายเฝ้าระวังโรคโคโรนาไวรัสนั้น พบว่า ผู้ป่วย 1 ราย เป็นผู้หญิงอายุ 60 ปี ป่วยด้วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอช 3 เอ็น 2 ส่วนผู้ป่วยอีก 3 รายนั้นเมื่อตรวจแล้วไม่พบทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโคโรนา จึงเชื่อว่าอาจเป็นเชื้อชนิดอื่นๆ ที่ไม่รุนแรง
นพ.ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ คร.กล่าวว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2012 แหล่งเชื้อมาจากสัตว์ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดว่าเป็นสัตว์ชนิดใด คนที่ติดเชื้อนี้เป็นผู้ที่มีโอกาสสัมผัสกับสัตว์และติดต่อระหว่างคนสู่คนผ่านทางแพทย์ พยาบาล และญาติที่ดูแลผู้ป่วย ซึ่งการติดต่อยังอยู่ในวงแค่นี้ โดยองค์การอนามัยโลกรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ต.ค.ว่า ทั่วโลกพบผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อนี้แล้ว 144 ราย เสียชีวิต 62 ราย จากผู้ป่วยทั้งหมด 9 ประเทศ คือ จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ตูนิเซีย เยอรมนี และอิตาลี โดยมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยและเสียชีวิตพบในซาอุดีอาระเบีย คือป่วย 121 ราย เสียชีวิต 51 ราย
“เชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2012 เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจ เชื้อจะเข้าสู่ระบบหายใจ โดยจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เข้าสู่ร่างกายทางจมูก ปาก หรือการขยี้ตา เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจและทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งบางรายอาจจะเกิดปอดอักเสบรุนแรง หรือไตอักเสบ แต่ขณะนี้ยังไม่มียาเฉพาะในการป้องกันรักษา ผู้ที่เสียชีวิตเกิดจากปอดอักเสบรุนแรง” นพ.ศุภมิตร กล่าว
ที่มา : www.manager.co.th
- 1 view