สยามธุรกิจ - เอไซ/ซี.เอ.พี.พี. กรุ๊ป  วงการยามองรัฐคุมค่าใช้จ่ายฉุดตลาดยา 1 แสนล้านหดตัวต่อเนื่องบริษัทยาเตรียมดิ้นหาทางออกชี้เทรนด์ 3-5 ปีข้างหน้าคนไทยรู้เรื่องยามากขึ้น ล่าสุด "เอไซ"เฟ้นสินค้าสุขภาพความงามเข้าร้านขายยา เล็งควบกิจการยาแบรนด์ไทย ระบุ "อาปาครัวร์"ไปได้สวย รุกต่อ "แก้ไอ-แก้แพ้"ด้าน "ซี.เอ.พี.พี. กรุ๊ป" ชี้ตลาดยาสมุนไพรยังเหนื่อยพร้อมเร่งเครื่องเต็มสูบอัดสินค้าใหม่ 5 รายการปีหน้า
 
นายทวีศักดิ์ สีทองสุรนภาประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัทยาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า จากการควบคุมการใช้ยาในโรงพยาบาลรัฐบาล ส่งผลให้ตลาดยาในประเทศไทยยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องมาประมาณ 3 ปี โดยปีนี้ตลาดยาในช่องทางภาครัฐลดลงประมาณ 10%  แต่ตลาดภาคเอกชนและร้านขายยายังเติบโต 5-6% ส่วนเอไซในครึ่งแรกของปีงบประมาณ (เม.ย.2555-มี.ค.2556) ยังเติบโต 10% (เม.ย.-ก.ย. 2556) เนื่องจากการหันไปทำตลาดในโรงพยาบาลเอกชนและร้านขายยามากขึ้น
 
ภาพรวมตลาดยาและเวชภัณฑ์ในประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทแบ่งเป็นโรงพยาบาลภาครัฐและโรงเรียนแพทย์ 60% โรงพยาบาลเอกชนและร้านขายยา 40% จากนี้ไปคาดว่าตลาดจะเริ่มมีสัดส่วนเท่ากัน หรือ 50:50 เนื่องจากการเติบโตของโรงพยาบาลเอกชนและร้านขายยานอกจากนั้น ผู้ป่วยนิยมซื้อยารับประทานเองมากขึ้น ส่วนการควบคุมราคายาในช่องทางภาครัฐ ยังส่งผลให้ผู้ป่วยเลือกที่จะซื้อยาเอง นอกบริการของภาครัฐได้อีกด้วยอนาคตคาดว่าสัดส่วนอาจจะพลิกเป็น 60:40
 
"แต่ก่อนคนกลุ่มหนึ่งไม่ไปร้านขายยาเพราะเห็นว่าไปโรงพยาบาลแล้วได้ยาฟรี แต่หลังจากนี้ พฤติกรรมอาจจะเปลี่ยนไป แล้วร้านขายยาในปัจจุบันมีเภสัชกรคอยให้ข้อมูลคนไข้รู้สึกว่ากล้าถามมากกว่า อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่ไม่ต้องรอคิวยาว จึงคาดว่าธุรกิจร้านขายยายังขยายตัวได้อีกมาก"
 
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือ พฤติกรรมของคนไทยกับการประกันสุขภาพ มีปริมาณมากขึ้นทุกปี และส่วนนั้นโรงพยาบาลเอกชนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตอีกทั้งความรู้เรื่องยาของคนไทย จะถูกกล่าวถึงมากขึ้น เมื่อการสั่งยาจากโรงพยาบาลรัฐต้องเป็นไปตามข้อกำหนด ผู้ป่วยจะเริ่มถามหายาที่เหมาะกับตัวเอง หรือลงทุนจ่ายเอง เพื่อสิ่งที่พึงพอใจกว่า ซึ่งที่ผ่านมา ความรู้เรื่องยาของคนไทยถือว่าน้อยมาก แต่หากวันหนึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายหรือต้องเลือกยามากขึ้น ทำให้คนไทยจะหันมาสนใจเรื่องยามากกว่าที่ผ่านมา โดยคาดว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้าภาพนี้จะปรากฏชัดขึ้น
 
นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า เอไซ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโต ด้วยการแนะนำสินค้าใหม่ โดยจะคัดสรรสินค้าเข้าสู่ช่องทางร้านขายยามากขึ้น ในกลุ่มยาอาหารเสริม วิตามิน ฯลฯ เนื่องจากเอไซในประเทศญี่ปุ่นมีสินค้าที่ทำตลาดอยู่กว่า100 รายการ แต่จะเลือกที่เหมาะสมกับเมืองไทย นอกจากนั้น ยังมีแผนการหาพันธมิตรเจ้าของแบรนด์ยาและสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามทั้งการซื้อแบรนด์และร่วมบริหาร  ขณะนี้กำลังเจรจาอยู่ 2 รายและจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้
 
ส่วนแบรนด์ยาแก้หวัด "อาปราครัวร์"ที่นำกลับมาทำตลาดอีกครั้ง โดยมีเอไซเป็นผู้จัดจำหน่ายให้นั้น ปัจจุบันยังคงขายดีโดยเฉพาะหน้าฝนที่ผ่านมา และคาดว่าหน้าหนาวก็จะยังขายดีอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมโปรโมชั่นสำหรับหน้าหนาวเอาไว้กระตุ้นตลาดด้วย นอกจากนั้น ยังมีแผนการเปิดสินค้าใหม่ๆภายใต้แบรนด์ "อาปาครัวร์" โดยจะเจรจากับทางผู้ผลิตให้เพิ่มไลน์สินค้า อาทิ ยาแก้ไอชนิดน้ำ ยาแก้คัดจมูก แก้แพ้ เป็นต้น โดยจะเห็นในช่วงปีหน้า ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว พม่า กัมพูชายังเติบโตดีกว่า 20%
 
นายณัฐพงษ์ สุขเจริญไกรศรี กรรมการบริหาร บริษัท ซี.เอ.พี.พี. กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่าบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับยาสมุนไพรที่มีสารสกัดธรรมชาติ 100% อาทิ ยาสมุนไพรบรรเทาอาการไข้ แก้ร้อนใน "คูลแคป" ยาสมุนไพรบำรุงสุขภาพเพศชายภายใต้แบรนด์ "แคปปร้า" มานานกว่า 3 ปีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา"แคปปร้า" ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้ชายอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ปีที่ผ่านมายอดขายเติบโตถึง 20% ถือเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในกลุ่มยาสมุนไพรบำรุงเพศชาย
 
สำหรับ "คูลแคป" ยาสมุนไพรบรรเทาอาการไข้ ที่เปิดตัวได้ 8 เดือน ผลตอบรับยังไม่ชัดเจน เนื่องจากตลาดยาสมุนไพรในการรับประทานเพื่อลดไข้ยังทำตลาดจะค่อนข้างยาก เพราะคนไทยยังยังมีค่านิยมในการใช้ยาแบบเก่า บริษัทจึงทำตลาดด้วยการเน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ชี้ให้ผู้บริโภคเห็นความแตกต่างระหว่างยาที่ทำจากธรรมชาติ และยาที่มีเคมีเป็นส่วนประกอบ หากทำตลาดด้วยการให้ความรู้จนสำเร็จคาดว่าคูลแคปจะมียอดขายเกิน 100 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตทุกปีราว 30%
 
สำหรับแผนการตลาดในปี 2557 บริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 5 รายการ จาก 3 รายการในปีนี้ เป็นแบรนด์ใหม่ทั้งหมดทั้งการรับประทานและใช้ภายนอก เน้นไปที่กลุ่มสุขภาพเพศหญิง แต่ยังคงความเป็นสมุนไพรเป็นหลัก โดยจะใช้งบตลาดกว่า 80 ล้านบาท ถือเป็นการบุกตลาดอย่างหนักในปีหน้า
 
ที่มา : สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556