รพ.อุ้มผางแนะรัฐดำเนิน 3 มาตรการแก้ปัญหา ผลักดันประเทศอาเซียนมีระบบหลักประกันสุขภาพดูแลตัวเอง
ผศ. (พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ตาก เปิดเผยว่า การขึ้นทะเบียนต่างด้าวใน จ.ตาก ลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการขึ้นทะเบียนประชากรต่างด้าวเข้าสู่ระบบประกันสังคมมากกว่าระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ มีความยุ่งยากในการขึ้นทะเบียน ทำให้จำนวนผู้ที่ขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพลดลง ประกอบกับบริบทประชากรต่างด้าวในพื้นที่ชายแดน จ.ตาก ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ไม่ได้อยู่ในระบบอุตสาหกรรม ทำให้สถานพยาบาลต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายในการให้บริการรักษาพยาบาลแก่แรงงานต่างด้าวที่มีและไม่มีบัตรประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว จ.ตาก 5 ปีย้อนหลัง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยกรณีไม่มีบัตรประกันสุขภาพในปี 2551 พบ 89 ล้านบาท เพิ่มเป็น 90 ล้านบาท ในปี 2552 และเพิ่มเป็น 96 ล้านบาท 102 ล้านบาท และ 112 ล้านบาท ในปี 2553, 2554 และ 2555 ตามลำดับ ส่วนกรณีมีบัตร ปี 2551 พบ 12.9 ล้านบาท ปี 2552 ลดลงเหลือ 12.5 ล้านบาท เพิ่มเป็น 19.8 ล้านบาท ในปี 2553 ส่วนปี 2554 ลดลงเหลือ 15.4 ล้านบาท และปี 2555 เพิ่มเป็น 16.9 ล้านบาท จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายจากกรณีคนไข้ไม่มีบัตรประกันสุขภาพฯสูงกว่า ซึ่งเป็นภาระที่สถานพยาบาลต้องแบกรับ
นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก กล่าวว่า จากนโยบายขายบัตรประกันสุขภาพให้กับแรงงานต่างด้าวที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมในราคา 365 บาท และ 1,200 บาทต่อปี ปรากฏว่าบางพื้นที่ขายบัตรประกันสุขภาพไม่ได้เลย อย่าง รพ.อุ้มผาง ไม่สามารถขายได้แม้แต่ใบเดียว เนื่องจากคนไข้ที่ไร้หลักประกันสุขภาพที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลร้อยละ 62 ไม่ใช่คนต่างด้าวที่เข้ามาทำงาน แต่เป็นคนเชื้อชาติกะเหรี่ยงอยู่บนภูเขาในประเทศไทย ส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประชาชนจึงไม่มีหลักประกันสุขภาพ และมีฐานะยากจนไม่มีกำลังพอที่จะซื้อบัตรดังกล่าว โรงพยาบาลต้องให้บริการตามหลักมนุษยธรรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทำให้มีหนี้ค่ายาถึง 10 ล้านบาท
"การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลชายแดนจากการที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายคนต่างด้าว รัฐบาลควรดำเนินการใน 3 เรื่อง คือ 1.สนับสนุนการสร้างงานสาธารณสุขระดับปฐมภูมิในเขตประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดปัญหาโรคติดต่อ 2.ผลักดันให้รัฐบาลในประเทศสมาคมอาเซียนทุกประเทศสร้างหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชนทุกคนและมีคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับอาเซียน และ 3.จัดตั้งกองทุนเพื่อมนุษยธรรมดูแลสถานบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดน" นพ.วรวิทย์กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 15 กรกฎาคม 2556
- 1 view