นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส.นำทัพพิทักษ์นมแม่ เปิดประเด็นกับสกู๊ปหน้า 1 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า ถูกขบวนการใต้ดินจ้องล้มร่างพระราชบัญญัติการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ....ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ผลักดันและได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้มีกลไกดำเนินการแล้ว
คุณหมอศิริวัฒน์ย้ำว่า กระบวนการใต้ดินที่ว่าน่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่เสียผลประโยชน์โดยตรง ที่ในอดีตธุรกิจเหล่านี้พยายามหาช่องว่าง เลี่ยงกฎหมายเพื่อปลูกฝังความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการให้เด็กกินนมแม่
“ที่ผ่านมาแม่ที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการให้นมลูก ถูกชักจูง หลอกลวง ได้รับข้อมูลที่เป็นเท็จ ผ่านการแจกนมตัวอย่างฟรีให้แม่เอาไปเลี้ยงลูก ผลที่ตามมาช่วง 50 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าเด็กที่กินนมผสมจะป่วยเยอะ”
รายละเอียดปลีกย่อยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีมากมาย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเทคนิคการตลาดของบริษัทนมที่ทุ่มเทสรรพกำลังพุ่งเป้าไปที่โรงพยาบาลเอกชน ส่งผ่านนมตัวอย่างให้กับทั้งคุณแม่มือใหม่มือเก่า...
“ถูกบริษัทนมดึงให้เคลิ้มคล้อย หลงเชื่อในสรรพคุณนมผงของตัว โดยคุณแม่ไม่รู้ตัว”
โรงพยาบาลเอกชนเป็นช่องว่างสำคัญ เพราะไม่ถูกคุมเข้มเหมือนโรงพยาบาลรัฐ ที่มีกรอบเคร่งครัดทั้งระเบียบ และการประเมิน แต่ก็ใช่ว่าบริษัทจะย่อท้อ ยังพยายามเจาะเข้าไปให้ถึงกลุ่มคุณแม่...เพราะรู้แล้วว่าการแจกนมให้แม่เป็นวิธีที่ได้ผล เป็นยุทธศาสตร์การตลาดที่สำคัญ
“ความพยายามล่าสุดที่รู้มา บริษัทนมถึงขั้นบุกทำตลาดไปที่เทศบาล สถานรับแจ้งเกิดเด็ก ผ่านเจ้าหน้าที่” คุณหมอศิริวัฒน์ ว่า “...อย่าพรากลูกไป จากอกแม่ การให้นมปล่อยให้เป็นธรรมชาติของแม่ ถ้าลูกดูดนมหัวยางก็จะไม่อยากดูดนมแม่ เด็กกินนมผสมจะสับสน...ถ้าอายุ ขวบ...ขวบครึ่งจะกินก็ไม่ว่า หรือจะหย่านมก็ได้”
เหล่านี้เป็นที่มาของพัฒนาการการตลาดใต้ดินบริษัทนม ที่ไม่มีบทลงโทษก็ไม่สน ซึ่งนโยบายการตลาดบริษัทนมจะทำตามกฎหมายแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทยมีความพยายามตั้งไข่พระราชบัญญัติการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. .... มานานแล้ว แต่พอ จะได้เรื่องก็ถูกคลื่นใต้น้ำซัดมาเป็นระลอก ถูกสื่อโจมตีหาว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ปิดกั้นเสรีภาพของแม่ทุกครั้งไป
คุณหมอศิริวัฒน์ บอกอีกว่า แม้ว่ามีกฎหมายฉบับนี้ แต่ก็ยังไม่คิดว่าจะช่วยแม่ไม่ให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับการให้นมแม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีก็ยังดีกว่าไม่มีเพราะก็จะได้อาวุธเล็กๆเอาไว้สู้การตลาดนมที่มีเม็ดเงินมหาศาลในการบุกทะลวงเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค และมีงบประชาสัมพันธ์มหาศาลในการออกสื่อ
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ เวลา 11.00-13.00 น. มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย จะเปิดเวทีเสวนา “วิเคราะห์และสังเคราะห์ การสื่อสาร เพื่อการใช้สิทธิ์พ่อลาคลอด” เกี่ยวโยงกับครอบครัวตัวน้อย โดยตรงจัดที่โรงแรมสุโกศล (โรงแรมสยามซิตี้เดิม) ถนนศรีอยุธยา ห้องดวงกมล ชั้น 2
ใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไปร่วมฟังกันได้ ที่ต้องเสริมเพิ่มเติม พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กฯ กับ พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ยังหอบหิ้วหนังสือ “เรียนรู้นมแม่จากภาพ” มาฝากเผยแพร่เป็นความรู้...
อย่างกรณีลูกสับสนหัวนม อ้างอิงเป็นกรณีศึกษาที่คุณแม่หลายคนพานพบ กรณีศึกษาที่ 1 เด็กเพศหญิง อายุ 1 เดือน 5 วัน คลอดปกติ ดูดนมผสมจากขวดตั้งแต่อยู่โรงพยาบาล
ปัญหามีว่า เมื่อกลับมาบ้าน...แม่พยายามอุ้มลูกดูดนมจากเต้า แต่ลูกร้องมาก แม่โทรศัพท์ปรึกษาคลินิกนมแม่เพราะต้องการให้ลูกกลับมาดูดนมแม่จากเต้าอีกครั้ง
แนวคิดทางทฤษฎี การดูดนมแม่...ลูกต้องใช้ลิ้นและขยับกรามล่างและเคลื่อนลิ้นเป็นคลื่น เพื่อรีดน้ำนมออกจากท่อน้ำนม เมื่อลูกกินนมแม่ ลูกต้องอ้าปากกว้างและอมหัวนมแม่ไปถึงลานนม หัวนมแม่จะยืดไปถึงด้านในปากของลูก ลิ้นของลูกจะห่อลานนมที่ยืดและกดให้แนบไปกับเพดานปาก
เมื่อลูกขยับลิ้นและกราม น้ำนมจะถูกรีดออกมาตามจังหวะที่ ลูกขยับกราม
การดูดขวดนม ลูกต้องหัดหดกล้ามเนื้อและยกลิ้น เพื่อกดจุกนมเพื่อให้มีน้ำนมไหลเข้าปาก ลูกไม่ต้องอ้าปากกว้าง แต่จะห่อริมฝีปากให้เล็กและแน่น ลูกไม่ต้องใช้ลิ้นรีดเพื่อเอาน้ำนมออกจากจุกนมยาง ลูกจะดูด แผ่วๆและงับกัดจุกนมยาง เพื่อให้น้ำนมไหลออกจากขวด...เมื่อน้ำนมไหลเร็วเกินไป ลูกจะใช้ลิ้นดุนขึ้น เพื่อชะลอการไหล ของนม
แนวทางการช่วยเหลือ แรกเกิดจนลูกอายุ 45 วัน...ให้ลูกดูดนมจากเต้าเดียว หากจำเป็นต้องให้นมเสริมด้วยวิธีที่ไม่ได้ดูดนมจากเต้าให้ใช้ alternative feeding ที่ถูกต้อง
“แม่ควรอุ้มลูกบ่อยๆ...ให้ลูกเคยชินกับวิธีการตะแคงตัวเพื่อดูด นมแม่ และแม่ฝึกอุ้มลูกดูดนมแม่ ขั้นตอนคร่าวๆเพื่อให้เห็นภาพ เริ่มจากให้ลูกดูดนมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมง ให้ลูกดูดนมอย่างอารมณ์ดีไม่ หิวมาก ไม่รอให้ลูกหิวจัด”
ถัดมา...ตรวจสอบท่าให้นมของแม่ และการอมดูดนมแม่ของลูกว่าถูกต้องหรือไม่ ท่าอุ้ม...ลูกหันหน้าเข้าหาเต้า ศีรษะ...ลำตัวตรง คอไม่บิด ท้องแม่ท้องลูกชนกัน แม่ประคองหลัง...ลำตัวลูก
คราวนี้มาถึงท่าของลูก ลูกอ้าปากกว้างก่อนงับ...อมจนถึงลานนม ริม ฝีปากบนบานไปตามเต้า ริมฝีปากล่างปลิ้นออก และคางชิดเต้า...จมูกเชิดขึ้น
20 คำถาม–คำตอบ...ความจริง “นมแม่–นมผง” ที่พ่อแม่ควรรู้ ระบุว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นวิถีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ในการ เริ่มต้นชีวิตที่ดีที่สุดของลูกน้อย นมแม่เป็นทั้งอาหารกาย อาหารสมอง และอาหารใจให้กับลูกรัก
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ และมีคุณค่ามหาศาลต่อการ พัฒนาสมอง สติปัญญาและอารมณ์ ทำให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง พัฒนาการทางสมองและอารมณ์ที่ดี... “6 เดือนแรก ต้องนมแม่ล้วนๆ หลังอายุ 6 เดือน จึงเริ่มให้อาหารอื่นตามวัย และกินนมแม่ควบคู่จนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่า”
แต่ละปีมีเด็กไทยเกิดประมาณ 800,000 คน น่าสนใจว่า...ปัจจุบัน มีเด็กไทยเพียงร้อยละ 15 ราว 15,000 คนเท่านั้น ที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วงอายุ 6 เดือนแรก
ในแง่การเจ็บป่วย ทารกที่กินนมแม่จะได้รับภูมิคุ้มกันที่ผ่านทางน้ำนมแม่ตลอดในทุกระยะการให้นม แต่ประสิทธิภาพ...ความสามารถในการปกป้องการเจ็บป่วยจะสูงสุดในระยะที่ได้รับนมแม่อย่างเดียว เพราะเมื่อได้รับอาหารอื่น ก็เพิ่มโอกาสรับเชื้อปนเปื้อนที่มาด้วย
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนมแม่ ถูกบดบังด้วยการตลาดสวยหรู ผ่านบุคลากรทางการแพทย์ที่อาจทำไปโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ถ้าลงลึกถึงรายละเอียดข้อมูลที่ตีพิมพ์ไปในฉลากนม ยังมีข้อน่าสงสัยอีกมากมาย อาทิ บางข้อความอาจบิดเบือน ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ รวมถึงสัดส่วนปริมาณการใช้เทียบเด็กเล็ก...เด็กโต ฯลฯ
ใครที่มีประสบการณ์อาจจะพอเคยเห็นบูธแนะนำสินค้า ชงนมให้ดูมียี่ห้อ...กินแล้วเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ทำให้คุณแม่ไม่น้อยเกิดความรู้สึกลังเลในหัวใจ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ทิ้งท้ายว่า...
“ถ้าเราไม่ผลักดันให้เป็นกฎหมายก็จะทำอะไรไม่ได้ ต้องนึกถึงเด็กรุ่นต่อไป กฎหมายนี้จะเป็นกฎหมายเพื่อลูกเพื่อหลาน สายใยแห่งนมแม่ เป็นอะไรที่นมผงสร้างไม่ได้ ครอบครัวอบอุ่นจะนำมาซึ่งอะไรดีๆไป จนตลอดชีวิต”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2555
- 22 views