“สมศักดิ์” ถก คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ย้ำจุดยืน ไม่สนับสนุนขยายเวลาขายเหล้า-เบียร์ พร้อมเผยผลศึกษาอุบัติเหตุและเสียชีวิตเพิ่มจากขยายเวลาโดยเฉพาะช่วงเวลา 02.00-06.00 น. 

 

จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติให้ตั้งคณะทำงานไปทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดกรอบระยะเวลาในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทั่วไปอย่างรอบคอบ เพื่อดูความเป็นไปได้ในการขยายกำหนดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สนับสนุนกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ หลังจากก่อนหน้านี้ประกาศขยายเวลาผับบาร์ สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลืได้ถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง กทม. ,ชลบุรี ,เชียงใหม่ ภูเก็ต และ เกาะสมุยนั้น

(ข่าว: บอร์ดคุมน้ำเมา ตั้ง “หมอพรเทพ” นั่งปธ.ชุดศึกษาความเป็นไปได้ขยายเวลาขายเหล้าเบียร์)

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ว่า  ตนให้ความสำคัญกับเครื่องมือการดำเนินงาน ก็คือ กฎหมาย หรือ กฎกระทรวง ซึ่งถ้าถึงเวลาที่ต้องทำ แต่ไม่ทำ ก็จะส่งผลให้งานส่วนรวมไปไม่ได้ และจะเกิดความเสียหาย ดังนั้น การดำเนินงาน หากต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ก็ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ที่กำหนดให้ทำกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับเรื่องแอลกอฮอล์ภายใน 2 ปีด้วย 

 

พื้นที่กระตุ้นศก.ขยายเวลาขายเหล้าเบียร์ เสียชีวิตเพิ่ม

นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า  ที่ประชุมได้รับทราบผลการติดตามการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประจำปีงบประมาณ 2567 และผลการศึกษาข้อเท็จจริงกรณีการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ซึ่งมีการศึกษาโดยคณะอนุกรรมการวิชาการ ภาพรวมพบข้อมูลสถานบริการในพื้นที่ที่มีขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มเกิดผลกระทบมากกว่าพื้นที่ที่ไม่ขยาย โดยพบว่า 1.การเสียชีวิตช่วงตี 2 ถึง 6โมงเช้าเพิ่มขึ้น 13.4% จากปี 2566 โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีสถานบริการมาก เช่น ชลบุรี ภูเก็ต กทม.เพิ่มถึง 23% 

2.สถิติคดีเมาแล้วขับธ.ค.2566-มี.ค.2567 ในจังหวัดนำร่องเพิ่มมากขึ้น 3.ความรับผิดชอบของผู้ขายในเขตโซนนิ่งยังไม่เป็นไปตามที่คาดทั้งหมด เช่น การดำเนินการของสถานบันเทิงที่เรียกรถบริการมาให้ลูกค้าหากวัดแอลกอฮอล์เกิน 50 มก. พบไม่ดำเนินการ 85.6% ไม่วัดแอลกอฮอล์ลูกค้าก่อนออกจากร้าน  84% ไม่ตามญาติมารับหากลูกค้าที่เมาไม่ยอมให้เรียกรถบริการ 75.8% ยังจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้คนมึนเมาไม่ได้สติ 56.2% ไม่ตรวจบัตรประชาชนบุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปีห้ามเข้า 13.8 % 

รายได้กระตุ้นศก.อาจไม่ใช่จาก ขยายเวลาขายเหล้าเบียร์

4.รายได้ที่เพิ่มอาจไม่ใช่เรื่องการขยายเวลาขายแอลกอฮอล์อย่างเดียว และ 17 จังหวัดเมืองหลักที่ไม่ขยายเวลาก็มีอัตราการเติบโตมากกว่า และ 5.ปัญหาอื่นๆ ที่กำลังติดตามมาจากการเยี่ยมพื้นที่และหารือกับผู้เกี่ยวข้อง ในพื้นที่จ.ชลบุรี ภูเก็ต และกทม.ซึ่งพบเหตุเดือดร้อนรำคาญจากคนเมาสุรา กัญชา และเสียงดังรบกวน ภาระงานของตำรวจและห้องฉุกเฉินรพ.เพิ่มและมีขีดจำกัด แหล่งกำเนิดของธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆ ทั้งยาเสพติด การมั่วสุมของเยาวชน

นพ.ธงชัย กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังพิจารณาขอความร่วมมือกับหน่วยงานราชการร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์วันงดดื่มสุราแห่งชาติประจำปี 2567 ในวันวิสาขบูชา

 

ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ข้อมูลผลการศึกษาดังกล่าวจะต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและพิจารณา แต่จุดยืนของสธ.เราไม่ได้สนับสนุนให้มีการขยายวลาและพื้นที่การจำหน่ายโดยดูจากข้อมูลสถิติตัวเลขและกฎหมายทุกมุ่ม อย่างไรก็ตามการสธ.ไม่ได้ทำงานด้านนี้และจบที่สธ.ฝ่ายเดียว ขณะเดียวกันยังมีการเสนอร่างแก้ไขพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ....ถึง 5 ฉบับที่นำเสนอจากฝ่ายต่างๆ 

 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ามีจุดยืนเรื่องการไม่สนับสนุนการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นาจสมศักดิ์ กล่าวว่า เรามีจุดยืนอยู่แล้ว โดยต้องดูสถิติตัวเลข ดูกฎหมาย เพราะต้องทำให้ได้ทุกมุม เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีผู้ได้รับผบกระทบ ดังนั้น เราจะพยายามไม่ขัดผู้คน หรือ ให้เกิดความเสียหายมากนัก แต่ยอมรับว่า ก็ต้องเจ็บกันคนละเล็กน้อย พร้อมขอย้ำว่า เราไม่สนับสนุนเรื่องขยายเวลาอยู่แล้ว และเรื่องนี้ไม่ได้จบที่กระทรวงสาธารณสุข เพราะมีร่างกฎหมายถึง 5 ฉบับ ที่ต้องพิจารณากันในสภาผู้แทนราษฎร 

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงความพร้อมการชี้แจงงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข จะพูดในภาพรวมเท่านั้น ส่วนเรื่องงบประมาณบัตรทอง ก็ทราบว่า เราได้งบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 9% ซึ่งก็ต้องดูว่า จะทำอย่างไรให้ทั่วถึงโรคภัยไข้เจ็บ และขยายการดูแลได้มากขึ้น 

 

เมื่อถามถึงการรับฟังความคิดเห็นการนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงแรกของการรับฟังความคิดเห็น คนที่เห็นว่า ไม่ควรนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด มีสูงกว่า แต่ผลการรับฟังความคิดเห็นล่าสุดนั้น ตนยังไม่ทราบ พร้อมขอยืนยันว่า จะไม่มีการรณรงค์รับฟังความคิดเห็นแล้ว เพราะจะได้ไม่เกิดความขัดแย้ง โดยจะรอฟังผลสรุปความคิดเห็นอย่างเดียว เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย จึงขอให้ฟังเสียงส่วนใหญ่