"อนุทิน" เป็นประธานฉีดวัคซีนโควิด "ไฟเซอร์" ฝาแดงเข้มเด็กอายุ6 เดือน ถึง 4 ปี เป็นวันแรก ชี้ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่จัดหาและนำเข้ามาฉีดให้แก่เด็กกลุ่มนี้ จำนวน 3 ล้านโดส เบื้องต้นส่งในเดือน ต.ค.นี้ 1 ล้านโดส และจะทยอยเข้ามาจนครบในสิ้นปี ขณะนี้เข้ามาแล้ว 5 แสนโดส กระจายส่งถึงทุกจังหวัด
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม "เสริมภูมิปฐมวัย ปกป้องภัยโควิด 19" ซึ่งเป็นการเริ่มฉีดวัคซีนโควิด 19 ของไฟเซอร์ฝาสีแดงเข้ม สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี เป็นวันแรก โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วม
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจัดหาวัคซีนโควิด 19 มาให้บริการแก่คนไทยตั้งแต่ปี 2564 ขณะนี้มีความครอบคลุมมากกว่า 82% ทำให้สามารถควบคุมโรคโควิด 19 จนปรับลดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังได้ อย่างไรก็ตาม ยังเหลือกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งพบว่ามีอัตราป่วยมากกว่าเด็กโต 1.5 เท่า และป่วยเสียชีวิตมากกว่าเด็กโต 3 เท่า ดังนั้น เมื่อ อย.มีมติเห็นชอบวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ขยายขอบเขตข้อบ่งใช้วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีแดง สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปี
"ประเทศไทยจึงเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่จัดหาและนำเข้ามาฉีดให้แก่เด็กกลุ่มนี้ จำนวน 3 ล้านโดส โดยจะส่งในเดือนตุลาคมนี้ 1 ล้านโดส และจะทยอยเข้ามาจนครบในสิ้นปีนี้ เบื้องต้นเข้ามาแล้ว 5 แสนโดส กระจายส่งถึงทุกจังหวัดแล้ว และเริ่มให้บริการวันนี้เป็นวันแรก"
นายอนุทิน กล่าวว่า เด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี ยังเล็กเกินไปที่จะรู้จักป้องกันตนเอง และเมื่อป่วยจะบอกอาการไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเปราะบางหากติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรง จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องได้รับภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและลดการแพร่เชื้อในครอบครัวได้ ยืนยันว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย อาการข้างเคียงอาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่อันตราย พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถลงทะเบียนหรือพาบุตรหลานเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ตามความสมัครใจ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า การขยายกลุ่มรับวัคซีนโควิด 19 ลงมาจนถึงเด็กอายุ 6 เดือน สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ที่มีเป้าหมายสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้ทุกคนบนแผ่นดินไทยเข้าถึงวัคซีนอย่างสะดวกตามความสมัครใจ ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งหากมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรทุกช่วงวัยมากขึ้น ประเทศก็จะปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ขอให้กลุ่มเสี่ยง 608 เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วย เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2566 กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมวางแผนงบประมาณสำหรับจัดหาวัคซีนโควิด 19 รุ่นใหม่ให้เพียงพอกับประชาชนทุกคนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง
ด้าน นพ.โอภาสกล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจะพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเด็กป่วยเพิ่มขึ้น โรงเรียนต้องปิดการเรียนการสอน รวมถึงพบเด็กบางรายที่มีภาวะ MIS-C แต่จากการจัดหาวัคซีนโควิด 19 สำหรับตั้งแต่ช่วงอายุ 12 ปี ลงมาจนถึง 5 ปี ทำให้เด็กไทยได้รับการปกป้อง ลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคโควิด 19 ได้เป็นจำนวนมาก และกลับมาเปิดเรียนได้ตามปกติ ดังนั้น เมื่อมีการอนุมัติวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี จึงมีการจัดหาเพื่อนำมาสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็กปฐมวัยกลุ่มนี้มีความปลอดภัยจากอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต โดยขณะนี้มีความพร้อมในการให้บริการ เนื่องจากมีการประชุมอบรมแนวทางการให้บริการวัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั่วประเทศแล้ว ซึ่งวัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี มีขนาด 3 ไมโครกรัม ปริมาณ 0.2 มิลลิลิตร ฉีดจำนวน 3 เข็ม ระยะห่างเข็มแรกกับเข็มสอง 4 สัปดาห์ และระยะห่างเข็มสามอีก 8 สัปดาห์ สามารถให้พร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นได้ในวันเดียวกัน หรือห่างกันเท่าใดก็ได้
ด้าน นพ.ธเรศ กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้ดำเนินการจัดส่งวัคซีน จำนวน 5 แสนโดสแรกถึงโรงพยาบาลในจังหวัดต่างๆ เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ 11 ตุลาคม โดยพื้นที่สามารถจัดให้บริการได้ทันที และหากพื้นที่ใด ประชาชนมีความต้องการวัคซีนเพิ่มเติม ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสามารถประสานมายังกรมควบคุมโรคได้ และผู้ปกครองสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ 1422 สายด่วนกรมควบคุมโรค
ขอบคุณภาพจากสำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
- 518 views