การประชุมครั้งสำคัญของคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในรูปแบบสัญจร ณ จังหวัดระยอง เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งสุดท้ายของปี 2564 ที่มีนัยสำคัญของการกำหนดทิศทางเดินหน้าการวิจัยของ สวรส. เพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพไทย ในปี 2565 โดยการประชุมดังกล่าว มีดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการสวรส. พร้อมด้วย นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสวรส. นำทีมคณะกรรมการและผู้บริหาร สวรส. ร่วมการประชุม
การประชุมสัญจรครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการศึกษาดูงานโดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อประยุกต์ใช้แนวคิดนำไปสู่การพัฒนาระบบการวิจัย ตลอดจนการแสวงหาโอกาสความร่วมมือพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นการศึกษาดูงานในองค์กรภาคเอกชนระดับไฮเอ็นด์ (High end) ของประเทศ อาทิเช่น บริษัท ไออาร์พีซี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และวังจันทร์วัลเล่ย์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในส่วนของสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTECH) และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) ที่ๆเป็นแหล่งบ่มเพาะเยาวชนให้เป็นนักวิจัยสำคัญทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรม ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศมาแล้วอย่างมากมาย
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยสาธารณสุข (สวรส.) ในครั้งนี้ ในพื้นที่ จ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาสำคัญในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ หรือเป็นเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ส่วนหนึ่งนับเป็นการสร้างโอกาสการทำงานวิจัยร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคเอกชน ซึ่งไม่เพียงแต่การวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเท่านั้น แต่อาจพัฒนาเชื่อมโยงไปถึงมิติของสิ่งแวดล้อมของคนในพื้นที่ที่ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไปพร้อมกับการมีรายได้ จากการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่
“เนื่องจากพื้นที่ระยองถูกพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ที่จะส่งผลต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของพื้นที่และประเทศโดยรวม แต่ขณะเดียวกันประชาชนในพื้นที่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตด้วย ทั้งนี้ งานวิจัยระบบสุขภาพ ของสวรส. จะเข้ามาสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนควบคู่ไปกับมิติอื่นๆ
ซึ่งบริบทของพื้นที่ EEC ไม่ได้มุ่งแค่เรื่องอุตสาหกรรมอย่างเดียว หากแต่ยังต้องดูแลสิ่งแวดล้อม การพัฒนาภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว รวมไปถึงการเกิดขึ้นของเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ที่จะต้องใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้วย
นอกจากนี้่ อยากให้มีการเชื่อมโยงการทำงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม บนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีสวรส. เป็นแกนกลางประสานการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการทรัพยากรและศักยภาพระหว่างกัน ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และสังคมอย่างมาก” ดร.สาธิต กล่าวย้ำ
ในการศึกษาดูงานดังกล่าว ได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญด้านการวิจัยและพัฒนาร่วมนำเสนอแนวคิดและผลงานวิจัยสำคัญ อาทิเช่น ศ.ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) สถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดและกระบวนการสำคัญของการสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ พร้อมนำเสนอผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ อาทิเช่น แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลการวิจัยจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน ที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน
โดยจุดเด่นของแบตเตอรี่ชนิดนี้ สามารถเก็บพลังงานได้มากขึ้น น้ำหนักเบา และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ที่สำคัญยังได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งหากผลิตแบตเตอรี่ที่มีราคาถูก จะส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกตามไปด้วย ซึ่งนับเป็นผลงานวิจัยชั้นแนวหน้าที่สุดชิ้นหนึ่งในปัจจุบัน พร้อมด้วยนายสุรชัย เหล่าพูลสุข ผู้อำนวยการโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา ผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่ร่วมบรรยายถึงเป้าหมายและการดำเนินงานของพื้นที่วังจันทร์ วัลเลย์
รวมถึงการต่อยอดงานวิจัยเครื่องมือแพทย์ จาก ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และปิดท้ายด้วย ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สวทช. เสนอเรื่อง “Thailand (National) Genome Data Center โครงการ 50K GeTH และการพัฒนาระบบการติดตามผู้ป่วยโรคหายาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)” ในการศึกษาดูงานในครั้งนี้
นอกจากนั้น ในการประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข มีการนำเสนอแผนงานโครงการสำคัญของสวรส.ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศเพื่อการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลจีโนม ภายใต้แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญ ให้โครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศเพื่อการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลจีโนมดังกล่าว ต้องมีการออกแบบและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง หน่วยจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลที่จะใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญอ้างอิงความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรไทย เพื่อใช้ในการต่อยอดงานวิจัยและบริการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพต่อไปได้
พร้อมกันนี้ ได้มีการเตรียมความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลพันธุกรรมในประชากรไทย โดยการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอยู่บนฐานของความปลอดภัยและสามารถตรวจสอบได้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งมีการศึกษาในด้านนโยบายการแบ่งปันและเข้าถึงข้อมูล ร่างนโยบายธรรมาภิบาลข้อมูล และนโยบายด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาจากการนำข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ภายใต้โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยไปใช้ประโยชน์ต่อไป
- 99 views