ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อควบคุมปัญหาโควิดในแรงงานต่างด้าวจังหวัดสมุทรสาคร

วัตถุประสงค์ของข้อเสนอ

         ข้อเสนอนี้มีเพื่อเป็นจุดตั้งต้นให้นักวิชาการและสาธารณะเห็นความสำคัญของปัญหา  และระดมความคิดเพิ่มเติม  โดยหน่วยราชการและศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด (ศบค) อาจได้ประโยชน์ในการต่อยอดจากสิ่งดีๆที่กำลังทำ   ข้อมูลและความเห็นเบื้องต้นในเอกสารนี้อาจไม่สมบูรณ์  คณะผู้จัดทำคาดหวังว่าจะได้รับการปรับปรุงให้ถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้น  จากทุกท่านที่เกี่ยวข้อง

ความเป็นมา

            เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2563  จากการตรวจพบว่ามีหญิงไทยเจ้าของกิจการที่ตลาดกลางอาหารทะเลในมหาชัยป่วยเป็นโควิด  ได้มีการสอบสวนโรคและค้นหาเชิงรุกทำให้พบว่ามีแรงงานพม่าเกือบครึ่งหนึ่งจากประมาณสี่พันคนที่มีการติดเชื้อโควิด ทางภาครัฐเริ่มปิดล้อมตลาดกลางกุ้ง  และประกาศให้จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดที่ต้องควบคุมสูงสุด  จำกัดการเคลื่อนย้ายแรงงาน ต่อมามีการสุ่มสำรวจในชุมชนใกล้เคียงและห่างออกไปก็พบผู้ติดเชื้อกระจายครบทั้งสามอำเภอและเกือบทุกตำบล (รูปที่ ๑) โดยพบมากสุดในเขตอำเภอเมือง ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมกราคม 2564 เจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งที่มีคนงานประมาณสี่พันคนได้ทำการตรวจคัดกรองคนงานเองไป 1500 พบว่ามีการติดเชื้อถึงร้อยละ 27   ข้อมูลดังกล่าวชี้ว่ามีการระบาดอย่างกว้างในชุมชน  และยังปรากฏว่ามีประชาชนคนไทยอีกประมาณ  30 จังหวัดที่เดินทางมาประกอบธุรกิจค้าขายในบริเวณตลาดมหาชัยติดเชื้อและกลับไปตรวจพบที่จังหวัดของตนเอง    

            แม้สมุทรสาครจะเป็นจังหวัดเล็กที่มีประชากรไทยเพียง  580,000 คนแต่ถือเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ   สามารถผลิตและส่งออกสินค้าอาหารทะเลสร้างรายได้ถึงปีละ  400,000 ล้านบาท เป็นศูนย์กลางรับซื้อและจำหน่ายอาหารทะเลไปทั่วประเทศไทย  มีโรงงานทุกขนาดรวมกันประมาณ  11,500 โรงงาน  เป็นโรงงานขนาดเล็กที่มีแรงงานไม่เกิน 200 คนอยู่ 11,302  แห่ง โรงงานขนาดกลางที่มีแรงงานระหว่าง 200 ถึง 500 คนอยู่ 226 แห่ง   และมีโรงงานขนาดใหญ่เกินกว่า  500 คนอยู่ 38 แห่ง (รูปที่ 2) เนื่องจากความต้องการแรงงานมีมากและกิจการที่แรงงานไทยไม่สนใจทำงาน จึงต้องพึ่งแรงงานจากประเทศเมียนมาร์  โดยมีแรงงานที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องประมาณสองแสนคนเศษ  และคาดว่ามีแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกอย่างน้อยเท่าตัว  แรงงานต่างด้าวนอกระบบเหล่านี้เข้ามาโดยผ่านนายหน้าและข้ามมาทางช่องทางชายแดนทั้งภาคเหนือ และภาคกลาง  คาดประมาณว่าทั้งสองกลุ่มรวมกันน่าจะประมาณอย่างน้อยห้าแสนคน   

            แรงงานบางส่วนพักอาศัยในโรงงาน  แต่ส่วนใหญ่อาศัยบ้านพักหรือหอพักราคาถูกประมาณ 600 แห่ง  โดย 271 แห่งเป็นแบบอาคารชุด  (รูปที่ 3)อยู่กันอย่างแออัดหลายคนในห้องเล็ก  ไม่ถูกสุขลักษณะทั้งเรื่องความแออัด ห้องน้ำ และการระบายอากาศ มักจะกินอาหารและสังสรรค์รวมกันอย่างใกล้ขิด   มีการรวมกลุ่มกันเป็นชุมช จากการสำรวจคร่าวๆมีชุมชนใหญ่ที่มีหอพักและตลาดซื้อหาสิ่งของที่แรงงานเหล่านี้อยู่กันหนาแน่นเป็นหลักพันคนขึ้นไปมีอยู่ประมาณ  40 ชุมชน  

ความสำคัญที่ต้องทำเรื่องนี้

            มีความเสี่ยงสูงที่การติดเชื้อโควิดจะแพร่จากชุมชนหนึ่งไปสู่ชุมชนอื่นๆ  และทยอยแพร่เข้าสู่โรงงานจากแห่งหนึ่งไปแห่งอื่นๆ  เนื่องจากแรงงานพักในชุมชนและเข้าไปทำงานตามกะของตนเอง ได้มีการทำโมเดลทางคณิตศาสตร์เบื้องต้น  พบว่าหากไม่ควบคุม และปล่อยไปตามธรรมชาติ การติดเชื้อก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็วจนถึงประมาณร้อยละ 70 ของประชากร ซึ่งการระบาดจะเริ่มชะลอตัวลง  ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี  จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อย   และจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล และที่สำคัญคือจะเป็นต้นตอของการแพร่เชื้อต่อไปยังจังหวัดอื่นๆและทำให้ประชากรไทยติดเชื้อด้วยเช่นกัน

การทำโมเดลทางคณิตศาสตร์พบว่าต้องเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการต่างๆให้ได้ผลในระดับอย่างน้อยร้อยละ 75  จึงจะทำให้การระบาดลดลงในระดับต่ำในเวลาสี่หรือห้าเดือน

            ที่สำคัญ หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาการระบาดใหญ่ในจังหวัดสมุทรสาครได้ ประเทศไทยก็จะไม่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้  ซึ่งจะสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศทั้งในด้านสุขภาพ และเศรษฐกิจ ซึ่งอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ทางการเมือง 

ดังนั้นจึงควรมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  

ตัวอย่างความสำเร็จ

            สิงคโปร์ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกับไทยมาก่อน โดยเมื่อกลางปี 2563  มีการระบาดใหญ่ระลอกสอง  เริ่มต้นจากการพบว่ามีคนงานต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย ศรีลังกา ที่อยู่ตามหอพักอย่างแออัด  ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนและแพร่กระจายไปในชุมชนของแรงงานต่างชาติที่มีประมาณสามแสนคนอย่างรวดเร็ว  คาดประมาณว่ามีแรงงานติดเชื้อในช่วงนั้นประมาณหนึ่งแสนคนเศษ  และมีชาวสิงคโปร์จำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับแรงงานพลอยติดเชื้อไปด้วยแม้จะไม่มาก   ทางการสิงค์โปร์ให้ความสำคัญสูงกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพราะเห็นว่าเศรษฐกิจของสิงค์โปร์จะไม่สามารถเดินได้ หากเกิดโรคระบาดร้ายแรงในแรงงานที่เป็นกำลังสำคัญ และการเปิดประเทศก็จะไม่เป็นผลสำเร็จ สิงค์โปร์ใช้หลักการตรวจคนงานทุกคน ทุกสองสัปดาห์ แยกคนไม่ติดเชื้อไปอยู่ที่พักใหม่ที่ดัดแปลงจากเรือสำราญจำนวนมากที่ต้องจอดหยุดอยู่โดยไม่ได้ใช้งาน  ส่วนคนติดเชื้อให้แยกอยู่ที่หอพัก ระหว่างนั้นมีการจำกัดให้แรงงานอยู่ในบริเวณชุมชนที่กำหนด  รวมใช้เวลาสามเดือน จึงสามารถลดการติดเชื้อจากวันละพันกว่ารายเหลือเพียงหลักต่ำกว่าร้อย จนควบคุมได้ นับเป็นตัวอย่างความสำเร็จ ซึ่งอาศัยความจริงจังของรัฐ  การร่วมมือของเอกชนและสังคม บนพื้นฐานของการใช้ข้อมูลและการศึกษาวิจัยที่คู่ขนานไป  

วัตถุประสงค์และหลักสำคัญของการควบคุม

            เป้านหมายในการควบคุมการระบาดในพื้นที่ควรมีวัตถุประสงค์และหลักสำคัญดังต่อไปนี้

            ๑.ลดการแพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร ให้สู่ระดับต่ำไม่เกินร้อยละห้าต่อแสนประชากรต่อสัปดาห์ หรือวันละไม่เกินสิบรายภายในหกเดือน

            ๒.จำกัดการแพร่ระบาดไปจังหวัดอื่นที่เชื่อมโยงกับต้นตอในจังหวัดสมุทรสาคร

            ๓. รักษาระดับการผลิตและส่งออกให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา

            ๔.  ทำให้แรงงานกว่าร้อยละ 90 เข้าสู่ระบบภายใต้กฎหมาย  ได้รับการคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนที่ดีขึ้นกว่าเดิม

องค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์

            1.ขึ้นทะเบียนแรงงานทั้งหมด  สร้างฐานข้อมูลแรงงานรายบุคคล โดยไม่สร้างความกังวลเรื่องความผิดทางกฎหมายให้กับนายจ้าง  ใช้วิธีการเชิงรุกที่รวดเร็วและสบายใจ  โดยออกบัตรที่จะแสดงสถานะบุคคลและสถานะการตรวจโควิดให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์  ซึ่งในขณะนี้ได้เริ่มต้นแล้ว แต่ยังไม่รวดเร็วพอ

            2. สำรวจทางระบาดวิทยาอย่างรวดเร็ว  เพื่อให้ทราบอัตราการติดเชื้อในชุมชนหอพักใหญ่ๆ และโรงงานขนาดกลางและชนาดใหญ่  โดยแบ่งชุมชนและโรงงานออกเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อต่ำ (น้อยกว่าร้อยละ 10)  ติดเชื้อปานกลาง (ร้อยละ 10-25)  และติดเชื้อสูง (มากกว่าร้อยละ  25)   โดยสนับสนุนการดำเนินการของจังหวัดที่ทำอยู่ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม  ทั้งนี้สามารถปรับการแบ่งระดับอัตราการติดเชื้อเพื่อกำหนดวิธีการตรวจและควบคุมได้ตามความเหมาะสม

            3. คัดกรองผู้ติดเชื้อทุกสองสัปดาห์และควบคุมโรคตามระดับการติดเชื้อ โดยวิธีการตรวจนั้นควรต้องผสมผสานทั้งการตรวจหาสารพันธุกรรม  (PCR)  รายบุคคลหรือรวมกลุ่มเล็ก (Pooled sample)  จากน้ำลาย  ร่วมกับการตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Rapid Antibody testing) ที่สามารถทำได้รวดเร็วกว่าอ่านผลได้เลยและราคาถูกกว่า สำหรับการกำหนดประชากรที่จะตรวจ  อาจใช้โรงงานเป็นสถานที่กำหนดแต่มีข้อกังวลคือมีจำนวนเป็นหลักหมื่น    หรืออาจใช้หอพักที่มีอยู่ประมาณ 600 แห่งเป็นตัวกำหนด  หรือผสมผสาน  รายละเอียดสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม โดยมีแนวทางดังนี้

                        สถานที่ที่ติดเชื้อต่ำ   ให้ตรวจทุกรายทุกสองสัปดาห์  โดยใช้วิธี pool saliva เก็บตัวอย่างน้ำลายห้ารายรวมกันเป็นหนึ่งงตัวอย่าง   แล้วตรวจเฉพาะ pool ที่มีผลเป็นบวก เพื่อทราบกลุ่มผู้ติดเชื้อเพื่อนำไปแยกกักเป็นเวลา  10 วัน ก่อนออกใบรับรองสถานะว่าพ้นระยะกักตัว  ส่วนผู้ที่ไม่ติดเชื้อในรอบนี้ให้ทำการตรวจทุกสองสัปดาห์  ระหว่างนี้สามารถเดินทางไปทำงานได้ตามปกติ  แต่ลดการพบปะกับผู้อื่น

                        สถานที่ที่ติดเชื้อปานกลาง   ให้ตรวจน้ำลายแบบรายบุคคลทุกรายในชุมชนทุกสองสัปดาห์  รายที่มีผลตรวจเป็นบวกให้นำมาแยกกันเป็นเวลา 10  วันก่อนออกใบรับรอง  ส่วนผู้ที่ไม่ติดเชื้อในรอบนี้ให้ทำการตรวจต่อทุกสองสัปดาห์  ระหว่างนี้สามารถเดินทางไปทำงานได้ตามปกติ แต่ลดการพบปะกับผู้อื่น

                        สถานที่ที่ติดเชื้อสูง  ให้ตรวจภูมิคุ้มกันแทน  รายที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว  ไม่ต้องตรวจต่อให้ใบรับรองเพื่อเดินทางทำงานและไปที่อื่นภายในจังหวัด แต่ไม่ข้ามจังหวัด  รายที่ไม่มีภูมิคุ้มกันให้ทำการตรวจน้ำลายหากมีผลเป็นบวกให้แยกออก  และกักตัวสิบวัน เมื่อครบให้ใบรับรอง รายที่ยังไม่บวกและไม่มีภูมิคุ้มกันให้ทำการตรวจทุกสองสัปดาห์

            ทั้งนี้  รายละเอียดและการเลือกใช้วิธีการตรวจสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยมีคณะผู้เชี่ยวชาญดูแล  และเนื่องจากเป็นการตรวจจำนวนมาก   รัฐควรหารือกับห้องตรวจทุกแห่งเพื่อกำหนดราคาที่ต่ำพอแต่ไม่ขาดทุน ไม่ใช่การคิดราคาตามปกติที่ใช้กันทั่วไปในขณะนี้เพื่อลดภาระเรื่องงบดำเนินการ   คาดว่าอาจต้องตรวจเป็นรอบๆรวมประมาณ 6 ถึง 8 รอบตลอดสามหรือสี่เดือนข้างหน้า  และรวมการตรวจประมาณ 1-1.5 ล้านตัวอย่างและอาจใช้งบประมาณ 500-750 ล้านบาท

            4. การจัดหาวัคซีนและฉีดให้ครอบคลุมแรงงานทุกคน  เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่อย่างแออัดของแรงงานทำให้หลักการ Social distancing มีข้อจำกัดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้  การใช้วัคซีนจึงเป็นมาตรการที่ดีที่สุดที่พึงทำได้แม้ว่าจะช้าไปบ้างแต่ก็ยังได้ประโยชน์   รัฐควรใช้เงินประกันสังคมที่เก็บได้จากแรงงานต่างด้าว  ซื้อวัคซีนประมาณ 2 ล้านโดสครอบคลุมประมาณ 1 ล้านคนเพื่อฉีดให้แรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวทุกคน เพื่อช่วยลดการแพร่เชื้อ  โดยวัคซีนนี้มาจากการซื้อเพิ่มเติมเพื่อการนี้โดยเฉพาะไม่ได้ไปแบ่งมาจากจำนวนที่รัฐบาลซื้อให้คนไทยตามแผนเดิม   อาจใช้งบประมาณ 1000  บาทต่อคน  หรือรวมประมาณ 1000 ล้านบาท  ประโยชน์จะเกิดกับผู้อาศัยอยู่ในจังหวัดสมุทรสาครทุกคน และคนไทยในจังหวัดอื่นๆ จากการลดการแพร่เชื้อ โดยหากดำเนินการอย่างรวดเร็ว น่าจะได้วัคซีนมาฉีดในช่วงต้นเดือนมีนาคม และฉีดให้แล้วเสร็จสองเข็มภายในเดือนเมษายน  งบประมาณอาจมาจากประกันสังคมที่เก็บได้จากแรงงาน ร่วมกับภาคเอกชนสมทบโดยรัฐสร้างกลไกจูงใจ 

            5. การจัดหาที่แยกผู้ติดเชื้อ   ให้รองรับได้ 10,000 คน  โดยหากแต่ละคนต้องกักตัวสิบวัน ก็จะสามารถรองรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ 1,000 คนต่อวัน  ทั้งนี้ที่แยกกักตัวอาจมีด้วยกันสามประเภท คือโรงพยาบาลสนามซึ่งอาจรองรับได้ 4,000 คน  โรงงานที่สามารถหาสถานได้สมทบอีกประมาณ 3,000 คน และการดัดแปลงหอพักต่างๆที่มีแยกผู้ติดเชื้อเป็นตึกหรือเป็นชั้นอีกประมาณ 3,000  คน  ทั้งนี้สามารถขยายเพิ่มเติมได้หากความต้องการมีมากในระยะแรก แต่จะค่อยๆลดลงเมื่อเวลาผ่านไป   เป็นที่น่ายินดีที่ทางจังหวัดได้เริ่มดำเนินการแล้วและควรสนับสนุนให้รองรับได้เต็มศักยภาพภายในเดือนกุมภาพันธ์    หากผู้ติดเชื้อที่แยกไว้ตามโรงงานหรือหอพักหรือที่อื่นๆมีอาการ ให้มีระบบรับส่งมาตรวจที่ รพ สนามในโซนนั้นๆ

            6. การขยายอาสาสมัครแรงงานต่างด้าว (อสต) ที่เป็นผู้นำในกลุ่ม ประมาณ 5,000 คน (ปัจจุบันมีอยู่แล้วประมาณสามพันคน) โดยแต่ละคนรับผิดชอบดูแลแรงงานต่างด้าวประมาณ 100 คน ทำหน้าที่ให้ความรู้ ตักเตือนผู้ไม่ปฏิบัติตามหลักการป้องกัน คัดกรองผู้มีอาการและ  ประสานการตรวจทุกสองสัปดาห์  ตลอดช่วยนำแรงงานขึ้นทะเบียน  เฝ้าระวังเหตุการณ์ และประสานเรื่องอื่นๆ 

            7.  ดูแลเรื่องรายได้และการบรรเทาความเดือนร้อนทางสังคม   เพื่อให้ผู้ถูกแยกตัวได้รับรายได้ที่เหมาะสมจากการไม่ได้ทำงานรวม 10 วัน และค่าตอบแทนให้อาสาสมัครที่ช่วยงานรวม 10 เดือน  นอกจากนี้อาจยังต้องสนับสนุนเรื่องระบบสื่อสารในการใช้ Application หมอชนะหรือไทยชนะ  

            8.  ควบคุมการเข้ามาของแรงงานต่างด้าวอย่างเข้มงวด  เพื่อมิให้ซ้ำเติมปัญหาเดิม  หากจะเข้ามาให้ผ่านกระบวนการกักตัวเช่น  local state quarantine หรือ organization quarantine สำหรับแรงงานที่อยู่ในจังหวัดยังคงต้องจำกัดการเคลื่อนย้ายมิให้ออกนอกเขตจังหวัดจนกว่าสถานการณ์กลับสู่ปกติ 

            9. จัดระบบเฝ้าระวัง  แบบ Sentinel โดยมีการสุ่มตรวจการติดเชื้อในชุมชนสำคัญทั้ง 40 แห่งอย่างต่อเนื่อง มีการสอบสวนให้ทราบสาเหตุการติดเชื้อที่เป็นกลุ่มก้อนและการติดเชื้อผิดปกติเพื่อปรับมาตรการต่างๆ

            10. จัดระบบการสื่อสารสร้างความร่วมมือและความรู้   เนื่องจากเป็นการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน  นายจ้าง ผู้ประกอบการหอพัก  ประชาชนในสมุทรสาคร  และประเทศโดยรวม  ทุกฝ่ายและสาธารณะควรได้รับทราบแผนยุทธศาสตร์และยินดีพร้อมใจให้ความร่วมมือ  ไม่เกิดปัญหาการขัดแย้ง การสื่อสารควรมีภาษาที่แรงงานใช้ด้วยเพื่อรู้วิธีการลดความเสี่ยงโดยเฉพาะในที่พักและในชุมชน   

ข้อเสนอเพื่อดำเนินการ

            1. ระดมความเห็นเพื่อสร้างฉันทามติเบื้องต้นในการกำหนดยุทธศาสตร์หลัก  ส่งต่อร่างให้ ศบค. พิจารณา  โดยสามารถปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามเหมาะสม และแปลงเป็นแผนปฏิบัติการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเป็นเจ้าภาพร่วมกัน

2.จัดตั้งคณะอำนวยการเพื่อเร่งรัดการแก้ปัญหาเป็นการเฉพาะขึ้นตรงกับ ศบค. เพื่อดูแลด้านนโยบายและการประสานงานข้ามกระทรวง  การระดมทรัพยากรทั้งงบประมาณและบุคลากรจากภาครัฐ  เอกชน และท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดที่จะทำหน้าที่หลักในการดำเนินการ  โดยมีผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงแรงงาน  กระทรวงมหาดไทย ตัวแทนภาคธุรกิจ ผู้บริหารท้องถิ่น นักวิชาการ นักสังคมศาสตร์  และตัวแทนแรงงานไทยและต่างชาติ  เพื่อสร้างความร่วมมือแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง 

            3. จัดงบประมาณให้มีทีมวิจัยสหวิทยาการเพื่อศึกษาทางด้านระบาดวิทยา  การควบคุมโรค สังคมศาสตร์  เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้และประเมินผลความสำเร็จพร้อมจัดทำข้อเสนอเป็นระยะ โดยรวมถึงแนวทางในการสร้างระบบขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมาย  มีสวัสดิการ และความเป็นอยู่ที่ไม่เอื้อต่อการระบาดของโรคเช่นในกรณีนี้

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

            ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม  จะสามารถควบคุมการระบาดในจังหวัดสมุทรสาครได้ โดยมีการติดเชื้อรายใหม่ไม่เกินหลักสิบรายต่อวัน  และสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปที่อื่นๆ  ลดผลกระทบการต้องปิดโรงงานหรือยุติการผลิต และระงับข่าวลือต่างๆ  ตลอดจนสามารถสร้างต้นแบบระบบจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมาย เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการควบคุมโรคระบาดสำหรับพื้นที่อื่นๆ  และสร้างความเชื่อมั่นต่อการส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศ

ขอขอบคุณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร เขตตรวจราชการที่ห้า  กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทยื  กระทรวงสาธารณสุข ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราขการจังหวัดสมุทรสาคร หอการค้าไทย  และท่านอื่นๆอีกมากมาย ที่ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นต่างๆ   

คณะผู้จัดทำข้อเสนอ

ด้านการแพทย์และสาธารณสุข: นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์   นพ. ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์  นพ. ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์  นพ. ยง ภู่วรวรรณ  นพ.ทวี  โชติพิทยสุนนท์ นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา  นพ. ยศ ธีระวัฒนานนท์   นพ. ครรชิต ลิมปกาญจนรัตน์   นพ. ภาสกร อัครเสวี

ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม: ดร. สมเกียรติ  ตั้งกิจวานิชย์  ดร. สมชัย จิตสุชน   ทพ. กฤษฏา  เรืองอารีรัตน์ 

 

รูปที่หนึ่ง

แหล่งที่มา  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร

 

รูปที่สอง

 

แหล่งที่มา  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร

รูปที่สาม

 

 

  แหล่งที่มา  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร