เลขาธิการแพทยสภา มองติดเชื้อโควิดเริ่มน้อย ชี้เป็นการชนะยกแรก แต่ต้องเข้มต่อเนื่อง เผยความหวังของทางการแพทย์ที่รับสถานการณ์ได้ มีอะไรบ้าง

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก Ittaporn Kanacharoen ถึงสถานการณ์การติดเชื้อโควิดที่เริ่มพบผู้ป่วยน้อยลง ว่า "ชนะยกแรก..ด้วย 3เข้ม" สถานการณ์ วันนี้ที่น่าพึงพอใจ ปัจจัยชี้วัด ทุกอย่างดีขึ้น จนป็นที่แปลกใจของชาวโลก ต้อง ชื่นชมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ส่วนตัวคิดว่าเป็นเพราะ 3 ปัจจัยหลัก หรือ 3 เข้ม คือ



1. การจัดการที่ "เข้มงวด"ของภาครัฐ ที่รีบปิดเมืองเว้นระยะจัดเคอฟิวเป็นรูปธรรมเมื่อคนป่วยเริ่มพุ่งเกินร้อย เช่นเดียวกับทุกประเทศในโลก ทำให้การควบคุมเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว การกระจายผู้ป่วยออกไปต่างจังหวัดทำให้ เกิดความเสี่ยงแต่ความโชคดีคือ ทุกจังหวัดควบคุมตัว ผู้เข้ามาใหม่ได้เป็นอย่างดี ส่วนทุกคนหายเป็นปกติ มีแต่เพียงที่กลับมาจากต่างประเทศที่เกิดเรื่องและทำให้จำนวนเราสูง ซึ่งก็ยังควบคุมได้ ด้วยความเข้มงวด

2.การรักษาด้วยมาตรฐานที่"เข้มข้น"ของการแพทย์ และสาธารณสุข ที่สานกันทุกระดับ ทั้ง 5 กระทรวง ภาครัฐและภาคเอกชน ตรวจกลุ่มเสี่ยง จัดมาตรการติดตามคนที่สัมผัส รักษาคนป่วย จัดห้องปรับความดันลบ ชุดPPE หน้ากากอนามัย และ N95 การจัดเรื่องแลบ เรื่องยา รพ.สนาม มาตรการการให้ยารักษาเร็วไว กลไก อสม.และ การกักตัวของ ทุกหมู่บ้าน ที่มีคนจากเมืองกลับไป สิ่งเหล่านี้ชาวโลกไม่มี แม้ทุกเรื่องจะมีปัญหามากมาย เพราะเป็นเรื่องใหม่ ความขาดแคลนเป็นประเด็นหลัก แต่เราก็ฟันฝ่าจนผลการรักษาดีระดับโลก โดยเฉพาะความขาดแคลนซึ่งถูกแก้ไขด้วยน้ำใจของคนไทยถาโถมเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล ชนิดชาวโลกต้องยอมแพ้ในน้ำใจ

3.ความ"เข้มแข็ง"ของภาคประชาชน ที่อดทนการ์ดไม่ตก อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ โดยเฉพาะ ในระดับผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ขาย รายวัน ที่เสียสละเป็นอย่างมาก ประชาชนส่วนใหญ่ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะ ความเข้มแข็ง อดทน ของประชาชนทุกระดับยอดเยี่ยม ทำให้เราฟันฝ่าปัญหา ไปได้อย่างดี ทั้งนี้ความช่วยเหลือของรัฐที่ เพียงพอและ เท่าทันความต้องการเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ให้ประชาชนที่เดือดร้อนอยู่รอด แต่ด้วยโรคนี้เป็นการระบาดใหม่ ทำให้ทุกอย่าง มีอุปสรรคและไม่ราบรื่นเท่าที่ควร หวังจะได้เห็นมาตรการชดเชย ที่ทะยอยออกมา เป็นรูปธรรม ให้กับทุกกลุ่ม ประชาชน ผู้เดือดร้อน เพื่อตอบแทนความเข้มแข็งของพวกเขาแม้ช้าแต่มาเรื่อยๆครับ

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร กล่าวว่า 3 ความเข้ม..จึงนำมาสู่ชัยชนะในยกแรก จากนี้ไปจะเข้าสู่ยกที่ 2 ปลดล็อก ที่ต้องไม่ลดการ์ด เพื่อให้คนเข้าสู่การใช้ชีวิตแบบปกติได้มากขึ้นจำเป็นต้องมีการปลดล็อคเมืองที่มีความปลอดภัย ในพื้นที่ที่ความเสี่ยงต่ำให้ประชาชนเริ่มใช้ชีวิตปกติใน ความปกติแบบใหม่ คือแบบไม่มีการลดการ์ด เพื่อมิให้มีคนติดเชื้อเพิ่ม และแยกผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นผู้ป่วยและคนชรา มีให้สัมผัสกับผู้ป่วย เพราะเขาจะมีอาการรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ การจัดระบบร้านค้าต่างๆรวมถึงบุคลากรที่ทำงานในร้านค้า ให้มีความปลอดภัยสูง จัดระบบการเข้าถึง ร้านต่างๆให้มีการจัดระยะห่าง ล้างมือฆ่าเชื้อ โดยมาตรฐานป้องกันโควิด 19 จากกรมอนามัยและกรมควบคุมโรค ออกมาให้ประชาชนเข้าใจและรับทราบ ตรงกันเป็นขั้นตอนให้ทุกคนเดินไปพร้อมกัน ด้วยความเข้าใจจะดีที่สุด ความสำเร็จขั้นตอนนี้"ฮีโร่คือภาครัฐ" ที่จะจัดระเบียบ ติดตาม รายงาน และแนะนำประชาชน ให้ผ่านไปด้วยกัน ให้ ทุกคน TRUST ภาครัฐ และช่วยเหลือผู้เดือดร้อนได้อย่างเหมาะสม

“ทางการแพทย์คาดหวังเพียงว่ายก 2 จะต้องไม่มีคนเสียชีวิตมากนัก คนป่วย ก็จะมีเพิ่มขึ้นบ้างแต่ขออย่าให้อาการหนัก และประชาชนได้เริ่มออกมาทำมาหากินได้และการแพทย์ก็รับมืออยู่ หากชนะเราไปต่อ แต่หาก เกิด Wave ที่ 2 ต้องพร้อมที่จะ ถอยหลังกลับไปตั้งต้นใหม่ ก่อนจะลุกลามจนการแพทย์รับไม่ไหว เราไม่อยากสูญเสียชีวิตใครอีกเลย” พล.อ.ต.นพ.อิทธพร กล่าว

ยกที่ 3 คงเป็นยกที่สำคัญ ที่สุด เพราะต้องให้ประชาชนเข้าสู่ สภาวะปกติใหม่ ทำงานเรียนหนังสือได้ ทำมาหากินได้ ใช้ชีวิตได้ปกติ บนเงื่อนไขของ ระมัดระวังการระบาด ซ้ำของ โควิด-19 จังหวัดที่มีความเสี่ยงน้อยต้องเปิดก่อน การเสี่ยงมากอาจจะชะลอดู จนมั่นใจแล้วค่อยเปิด ลดการ์ด ลงจนเกิดความสมดุล ฮีโร่ในยกที่ 3 คงไม่ใช่ ใครอื่นคือความ เข้มแข็งของภาคประชาชน นั่นเอง ทั้ง เข้มงวด เข้มข้น และ เข้มแข็ง จึงเป็น 3 กลไกหลักที่ทำให้ผลการควบคุมโควิด-19 เป็นไปได้ดี โดยยังเชื่อว่ามีหลายสิ่งที่อยู่ภายใต้ความโชคดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุณหภูมิความร้อนความชื้น ของภูมิภาคตลอดจนสายพันธุ์ของไวรัส ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งคงจะทยอยมีรายงานมาในที่สุด

สุดท้ายเราต้องชนะไปด้วยกันครับ ขอให้ ภาคประชาชน พี่น้องทุกคน อย่าการ์ดตก ในช่วงนี้ ความชะล่าใจจะนำไปสู่ หายะนะได้ ทุกเมื่อ เพราะทั้งต่างชาติและรอบบ้านเรา หลายประเทศสถานการณ์ระบาดยังรุนแรงอยู่เลย เผลอเมื่อไหร่มาได้แน่นอน อย่าลืม "อยู่ห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากาก" เป็น new normal ของเราในยุคต่อไปครับ