ปักกิ่ง, 27 เม.ย. (ซินหัว) — เชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจหลายสายพันธุ์ อาทิ ไวรัสไข้หวัดใหญ่และโรคซาร์ส (SARS) มักแพร่ระบาดรุนแรงในเดือนที่อากาศหนาวเย็นและเลือนหายไปในฤดูร้อน แต่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จะมีรูปแบบเฉกเช่นนั้นหรือไม่?
ปัจจุบันคณะผู้เชี่ยวชาญยังไม่พบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอจะยืนยันว่าความร้อนและความชื้นจะชะลอการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2)
“ไวรัสโคโรนา 2019 สามารถแพร่กระจายได้ในทุกพื้นที่ รวมถึงพื้นที่ที่มีสภาพอากาศร้อนและชื้น” เป็นข้อความส่วนหนึ่งในรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าอุณหภูมิสูงไม่สามารถลดทอนการแพร่ระบาดได้
ทอม คอตซิมโบซ์ (Tom Kotsimbos) รองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลีย และแพทย์ระบบทางเดินหายใจประจำโรงพยาบาลอัลเฟร็ด (Alfred Hospital) ในเมืองเมลเบิร์น เปิดเผยกับเดอะการ์เดียน (The Guardian) หนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักรว่าไวรัสโคโรนา 2019 เป็นไวรัสเกิดใหม่ ดังนั้น “มิได้หมายความว่ามันจะมีลักษณะเหมือนไวรัสสายพันธุ์อื่น”
“ผมคิดว่าน่าสนใจตรงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทั้งซีกโลกเหนือและใต้” คอตซิมโบซ์กล่าว พร้อมเสริมว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ได้พึ่งพาอุณหภูมิในการระบาดหรือการพึ่งพานั้นอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อการแพร่ระบาด
ขณะเหล่านักวิจัยพยายามขุดค้นความสัมพันธ์ระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 กับอุณหภูมิ มีนักวิจัยบางส่วนได้เผยข้อสรุปชวนถกเถียงออกมา
บทความในวารสารการแพทย์ เดอะ แลนเซต (The Lancet) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. รายงานว่าคณะนักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮ่องกงของจีน ค้นพบความสัมพันธ์เชิงผกผันระหว่างอุณหภูมิและความคงตัวของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ โดยระบุว่าไวรัสฯ มีความคงตัวสูงเมื่ออยู่ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส และมีระยะฟักตัวนานสูงสุด 14 วัน และเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 70 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการทำให้ไวรัสฯ หมดฤทธิ์จะลดลงเหลือ 5 นาที
ทว่าบทความในวารสารยูโรเปียน เรสพิราทอรี (European Respiratory) เมื่อวันที่ 8 เม.ย. กล่าวว่าคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นของจีน ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 กับอุณหภูมิหรือรังสียูวีในเมืองต่างๆ ของจีนเพียงเล็กน้อย
คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นทำการวิเคราะห์ด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1) จำนวนผู้ป่วยสะสมใน 224 เมือง ซึ่งแต่ละเมืองมีผู้ป่วยสะสมไม่น้อยกว่า 10 ราย เมื่อนับถึงวันที่ 9 มี.ค. 2) ค่าเฉลี่ยที่ผู้ป่วยหนึ่งรายจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นในประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน (basic reproduction number) ของ 62 เมืองที่มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่า 50 ราย เมื่อนับถึงวันที่ 10 ก.พ. 3) ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา อาทิ อุณหภูมิ ความชื้น และรังสียูวี ก่อนได้ข้อสรุปว่า “อุณหภูมิโดยรอบไม่ได้ส่งผลกระทบอันมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” และ “นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการระบาดของโรคเมอร์ส (MERS) ในคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งยังคงตรวจพบผู้ป่วยแม้อุณหภูมิในพื้นที่จะสูง 45 องศาเซลเซียส”
อย่างไรก็ดี จูอี้ฟาง ศาสตราจารย์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแอนเจลิส (UCLA) ของสหรัฐฯ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างไวรัสฯ กับอุณหภูมินั้นมีอยู่จำกัด ทำให้เราไม่อาจสรุปแน่ชัดว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นพิสูจน์ยืนยันได้ทั่วโลก
ขณะเดียวกันจูเสริมว่าไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่าอากาศร้อนที่กำลังจะมาเยือนซีกโลกเหนืออาจลดการแพร่ระบาดของไวรัสฯ และยังคงไม่มีข้อสรุปว่าโรคโควิด-19 จะกลับมาระบาดหนักในช่วงฤดูหนาวและกลายเป็นโรคระบาดตามฤดูกาลหรือไม่
- 140 views