สหรัฐอเมริการะดมอดีตบุคลากรทางการแพทย์ นักศึกษาแพทย์จบใหม่ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์สาขาอื่นเพื่อกอบกู้สถานการณ์ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ทว่าแนวหน้าเหล่านี้อาจต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเองหากโชคร้ายติดไวรัสจากการดูแลรักษาผู้ป่วย
จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เริ่มท่วมท้นโรงพยาบาลในหลายพื้นที่ไปพร้อมกับบุคลากรทางการแพทย์ที่เจ็บป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้หลายรัฐประกาศระดมความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเกษียณอายุไปแล้ว รวมถึงผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์สาขาอื่น
นครนิวยอร์คซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดด้วยจำนวนผู้ป่วยล่าสุดกว่า 44,915 รายก็ระดมแพทย์อาสาด้วยโปสเตอร์คล้ายกับยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 โดยขึ้นป้ายว่า “เราต้องการแพทย์เดี๋ยวนี้”
ทว่านครนิวยอร์คกลับไม่ได้ให้คำมั่นอย่างชัดเจนว่าภาครัฐจะดูแลค่ารักษาพยาบาลกรณีติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งกระทั่งผู้ที่มีประกันสุขภาพก็ยังอาจต้องแบกค่าใช้จ่ายหลายพันดอลลาร์
ความไม่แน่นอนนี้ทำให้อะลิซา แบร์และอาสาสมัครบางคนลังเลที่จะเข้าสู่สมรภูมิ
แบร์ซึ่งมีพื้นเพในย่านแมนฮัตตันเคยเป็นกุมารแพทย์ก่อนที่จะถอนตัวจากวงการเมื่อปี 2556 ระหว่างที่ธุรกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวแบร์จึงตัดสินใจจะเป็นแพทย์อาสาผ่านองค์กร ServNY ซึ่งระดมบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงเหตุวิกฤติ แบร์ได้รับหมายแจ้งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนให้ไปปฏิบัติหน้าที่ยังโรงพยาบาลเอล์มเฮิร์สในย่านควีนส์ซึ่งแผนกฉุกเฉินของที่นั่นเกลื่อนไปด้วยผู้ติดเชื้อ COVID-19
แบร์ฉุกใจว่าหากตนเองป่วยขึ้นมาแล้วใครเล่าจะเป็นคนจ่ายค่ารักษา เพราะในกรณีของเธออาจมีค่าใช้จ่ายส่วนต่างจากประกันสุขภาพถึงเกือบ 8,000 ดอลลาร์
“นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าติดเชื้ออีกค่ะ” แบร์กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่น “ค่ารักษาหลายพันดอลลาร์ในชวงที่ไม่มีรายได้เข้ามาเลยนี่เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดแล้วค่ะ”
ก่อนหน้านี้แบร์ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอล์มเฮิร์สแจ้งว่าโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลรัฐแห่งอื่นจะเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย แต่แบร์ยังคงชั่งใจเรื่องความเสี่ยงเพราะยังคงเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า
ความไม่แน่นอนที่แบร์และอาสาสมัครคนอื่นต้องเผชิญสะท้อนให้เห็นว่ากระทั่งองค์กรที่ทำหน้าที่ในช่วงเหตุวิกฤติอย่าง ServNY ก็ยังไม่พร้อมรับมือกับผลกระทบอันหนักหน่วงจาก COVID-19
ปัจจุบัน ServNY ประสานงานโดย Medical Reserve Corps ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายของกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา
เว็บไซต์ของ Medical Reserve Corps ของนครนิวยอร์คระบุว่าอาสาสมัครจะได้รับสิทธิประกันสุขภาพหรือค่าชดเชยซึ่งครอบคลุมค่าเสียรายได้และค่ารักษาพยาบาลกรณีอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน
จิล มอนแทก โฆษกของกระทรวงสาธารณสุขรัฐนิวยอร์คซึ่งเป็นผู้ประสานงานรับสมัครอาสาสมัครแถลงว่าทางกระทรวงเชื่อว่า “อาสาสมัครจำนวนมากมีประกันสุขภาพอยู่แล้ว”
ด้านเจ้าหน้าที่เทศมนตรียังไม่ออกมาให้ความเห็น เช่นเดียวกับ NYC Health + Hospitals ซึ่งเป็นผู้จัดสรรอาสาสมัครให้แก่เครือข่ายโรงพยาบาลรัฐในนครนิวยอร์ค
ในขณะที่รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศจะจ่ายค่าตอบแทนแก่บุคลากรทางการแพทย์ที่อาสาร่วมกำลังรบต่อสู้กับไวรัสโคโรนา 2019 แอนดริว คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คกลับวอนขอความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเสนอจะให้ความช่วยเหลือในลักษณะเดียวกันเป็นการตอบแทนแก่รัฐอื่น
ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คย้ำต่อว่า “คลื่นไวรัสกำลังม้วนตัวไปทั่วสหรัฐอเมริกา จากนิวยอร์คไปสู่ดีทรอยต์ แล้วไปนิวออร์ลีนส์ จากนั้นก็ถึงตาแคลิฟอร์เนีย”
พญ.คริสเตน เคนต์ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์ฉุกเฉินอเมริกันประจำนิวยอร์คกล่าวว่าปัญหาการประสานงานในมาตรฐานสาธารณสุขเป็นเรื่องที่พบเห็นเป็นประจำ และไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยที่จะเกิดปัญหาเรื่องประกันสุขภาพสำหรับอาสาสมัครทางการแพทย์
“ปัญหานี้จะทำให้มีอาสาสมัครยิ่งน้อยลงไปอีก” พญ.เคนต์กล่าว “อาสาสมัครต้องเอาสุขภาพและสถานะการเงินของตัวเองมาเสี่ยง อาสาสมัครควรปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมในยามที่ประสบปัญหา”
รัฐแคลิฟอร์เนียออกคำสั่งบริหารซึ่งคาดว่าจะระดมบุคลากรทางการแพทย์ที่เกษียณไปแล้วราว 37,000 คนซึ่งรวมถึงบุคลากรที่กำลังอยู่ระหว่างศึกษาต่อหรือขอใบประกอบโรคศิลป์ โดยจะบรรจุในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวซึ่งจะได้รับค่าแรงและประกันภัยความรับผิดในวิชาชีพ อย่างไรก็ดียังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าลูกจ้างชั่วคราวจะได้รับประกันสุขภาพด้วยหรือไม่
สถิติของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์เปิดเผยว่า แคลิฟอร์เนียมีรายงานผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา 2019 นับถึงวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาอย่างน้อย 8,813 รายและ 187 รายตามลำดับ
ข้อมูลจากรัฐบาลกลางสหรัฐชี้ว่านอกจากแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์คแล้วยังมีอีกอย่างน้อย 27 รัฐที่เปิดทางให้แพทย์ซึ่งเกษียณไปแล้วอาสาเข้ามาช่วยรับมือกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 เช่นเดียวกับรัฐอิลินอยส์ที่ประกาศระดมบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเพิ่งเกษียณหรือลาออกไปประกอบอาชีพอื่นมาเสริมกำลังต่อสู้กับ COVID-19
อาสาสมัครจะทำงานเป็นกะละ 12 ชั่วโมงยัง “สถานดูแลผู้ป่วย” ที่ศูนย์การประชุมแม็คคอร์มิคในนครชิคาโกซึ่งคาดว่าจะรองรับผู้ป่วยครบ 500 เตียงในอีกไม่ช้า โดยผู้บริหารเปิดเผยว่ากำลังประสานงานกับสำนักบริหารเหตุฉุกเฉินรัฐอิลินอยส์เพื่อพิจารณาว่าอาสาสมัครจะได้รับค่าตอบแทน ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่น หรือได้รับความคุ้มครองกายใต้การประกันความรับผิดหรือได้รับค่าชดเชยหรือไม่
ด้านสมาคมแพทย์อเมริกันออกประกาศคำแนะนำสำหรับแพทย์เกษียณซึ่งประสงค์จะร่วมเป็นอาสาสมัครในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยประธานสมาคมได้เตือนให้แพทย์อาวุโสคำนึงถึงสุขภาพของตนเอง รวมถึงการเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกัน และทางเลือกการดูแลผู้ป่วยทางไกล
“แพทย์อาวุโสก็มีความเสี่ยงไม่ต่างจากกลุ่มอื่น ดังนั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงสุขภาพและความปลอดภัยของแพทย์อาวุโสและครอบครัวโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเรื้อรัง”
แบร์ได้ปรึกษาครอบครัวถึงความเสี่ยงจากการทำงานอาสาสมัครแล้ว เจ้าตัวยืนยันหนักแน่นที่จะช่วยนิวยอร์คแม้มั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่แคล้วจะเป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อ
“ไม่ช่วยตอนนี้แล้วจะช่วยตอนไหนล่ะคะ อีกอย่างความเสี่ยงของฉันก็น้อยกว่าคนอายุ 60” แบร์กล่าว “แต่ฉันก็ไม่ควรจะต้องเผชิญกับหายนะทางการเงินจากการอาสาสมัครนะคะ”
แบร์ได้แต่หวังว่านครนิวยอร์คจะลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะดูแลค่ารักษาพยาบาลหากเกิดเจ็บป่วยระหว่างเป็นแพทย์อาสา เพราะไม่เช่นนั้นการอาสาในสมรภูมินี้ก็ดูจะเสี่ยงเกินไป
แปลและเรียบเรียงโดย หฤทัย เกียรติพรพานิช
จากเรื่อง
- 30 views