WHO จับมือ สสส.ขยายความร่วมมือสร้างเสริมสุขภาพ ปี 2561-2563 ในเวทีสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 71 เล็งเห็นศักยภาพ สสส.และภาคี ขับเคลื่อนวาระนโยบายสุขภาพโลก เตรียมรุกสร้างเครือข่ายทั่วโลกใน 6 ประเด็น เน้นลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพจากกลุ่มโรค NCDs

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ในเวทีสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 71 นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ดร.เท็ดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr.Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก พร้อมด้วย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คนที่ 1 ร่วมลงนามขยายระยะเวลาความร่วมมือว่าด้วยการสร้างเสริมสุขภาพ ปี 2561-2563 ระหว่างองค์การอนามัยโลก และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประเทศไทย

โดย ดร.เท็ดรอส ได้แสดงความชื่นชมความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก และ สสส.ประเทศไทยครั้งนี้ และเห็นประโยชน์ต่อการสร้างเครือข่ายสุขภาพทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก ทั้งนี้ การสร้างความร่วมมือผ่านองค์การอนามัยโลก ทำให้ไทยสามารถสนับสนุน ถ่ายทอดความรู้สู่การปฏิบัติแก่นานาประเทศในโลก เช่น ประเด็นกิจกรรมทางกายที่ไทยมีการดำเนินการอย่างเข้มแข็ง และหนุนให้เป็นวาระสำคัญในระดับนานาชาติ จนเกิดแผนปฏิบัติการโลกว่าด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ปี 2561-2573 ได้สำเร็จ

นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ข้อตกลงความร่วมมือนี้เป็นอีกตัวอย่างที่ดีว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย มีศักยภาพสามารถมีบทบาทในการสนับสนุนวาระนโยบายสุขภาพโลกได้ในระดับสูงสุด โดยไทยได้ขับเคลื่อนงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและองค์การอนามัยโลกหรือ WHO-CCS โดยความร่วมมือในรูปแบบนวัตกรรมเช่นนี้ มุ่งเน้นการระดมทุนทางสังคม ทุนทางปัญญา นอกเหนือจากทุนทางการเงินจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งการขับเคลื่อนสำคัญนี้ จำเป็นต้องใช้บทเรียนการทำงานที่ผ่านมา ของ สสส. และองค์การอนามัยโลก เพื่อต่อยอดไปสู่ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง สสส. และองค์การอนามัยโลก เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2553 และ 2558 ซึ่งได้ขยายเวลาความร่วมมือเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยความร่วมมือในครั้งล่าสุดนี้ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพใน 6 ประเด็นหลักของวาระนโยบายสุขภาพโลก เพื่อช่วยให้ประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) และการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ

โดยเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ เกิดฐานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพ รายงานวิชาการ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เครื่องมือและแนวทางปฏิบัติ และที่สำคัญคือเกิดเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็งทั้งในและต่างประเทศ

ดร.สุปรีดา กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายสำคัญ 6 ประเด็นในความร่วมมือครั้งนี้ คือ

1.สร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายและเสริมศักยภาพในการพัฒนานโยบายแอลกอฮอล์ในประเทศกำลังพัฒนา

2.การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายลดพฤติกรรมเนือยนิ่งลงให้ได้ร้อยละ 10 ภายในปี 2568

3.การสร้างเสริมสุขภาพเด็กและเยาวชนในสถานศึกษา ทั้งการสร้างกิจกรรมทางกาย และสร้างทักษะด้านสุขภาวะ

4.สร้างเครือข่ายส่งเสริมศักยภาพลดการบริโภคอาหารรสเค็มในระดับภูมิภาค เพื่อลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

5.ส่งเสริมให้เกิดระบบการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อ เพื่อควบคุมและส่งเสริมสุขภาพในภูมิภาคอาเซียนใน 6 ประเทศคือ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย

และ 6.สร้างความเข้มแข็งระบบบริการปฐมภูมิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ จะสร้างความสัมพันธ์ส่งเสริมพันธกิจเพื่อสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนต่อประชากรไทยและประชากรในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคอื่นทั่วโลก