ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข เผยพบวัยรุ่นนิยมซื้อผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำหอมฉีดจุดซ่อนเร้น อ้างสรรพคุณชวนเชื่อผ่านโลกออนไลน์ ช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดกลิ่น กระตุ้นฮอร์โมนให้ประจำเดือนมาปกติ เตือนประชาชนอย่าเป็นตกเหยื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพเกินจริง เสี่ยงเกิดอาการแพ้ ติดเชื้อตามมา แนะวิธีดูแลสุขอนามัยจุดซ่อนเร้น ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีใดๆ

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันมีการโฆษณาขายเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผ่านสื่อต่างๆ และทางอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก ปัญหาที่พบบ่อยคือ การโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรือใช้ข้อความที่ทำให้หลงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์มีผลต่อการทำหน้าที่ใดๆ ของร่างกาย ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด

ล่าสุดพบว่ามีการเปิดตัวสเปรย์น้ำหอมฉีดจุดซ่อนเร้น เสนอสรรพคุณว่า มีส่วนผสมของสังกะสีและแร่ธาตุจากธรรมชาติมากมาย สามารถกระตุ้นฮอร์โมนทำให้ประจำเดือนให้มาปกติได้ ช่วยลดกลิ่น ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อโรค และยังมีการโฆษณาว่าเพียงแค่ฉีดพ่นผลิตภัณฑ์ลงไปบริเวณจุดซ่อนเร้น สามารถทำให้มีกลิ่นหอมที่เย้ายวนชวนหลงใหลได้โดยไม่ต้องล้างด้วยน้ำเปล่า ใช้การโฆษณาตามสื่อออนไลน์ และจ้างเน็ตไอดอล มาเป็นตัวดึงดูดให้คนสนใจในตัวสินค้า เพื่อเพิ่มยอดการกดไลค์ และเพิ่มยอดวิวในการแชร์ เพื่อให้ชื่อสินค้านั้นแพร่กระจายในหมู่วัยรุ่น โดยบางผลิตภัณฑ์นั้นยังไม่ได้มีการตรวจสอบที่แน่ชัดว่าปลอดภัยจริง

กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบเฝ้าระวังการโฆษณา และดำเนินการตามกฎหมายหากพบการกระทำผิด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค พร้อมทั้งให้ความรู้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณา

พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ได้กล่าวถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ว่า การดูแลรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคใดๆ เนื่องจากจะมีการดูแลตามธรรมชาติอยู่แล้วโดยภายในช่องคลอดจะมีเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามปกติ หากใช้สารเคมีทำลายแบคทีเรียที่มีอยู่นี้ออกไป จะทำให้แบคทีเรียชนิดอื่นๆ หรือเชื้อราเข้ามาแทน เกิดอาการติดเชื้อ มีตกขาว มีกลิ่นเหม็น แสบ คันได้ การทำความสะอาดจึงไม่แนะนำให้สวนล้างช่องคลอด

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะเป็นบริเวณที่ผิวหนังบอบบาง อาจเกิดอาการแพ้ได้ง่าย เช่น คัน มีผื่นแดง มีสารคัดหลั่งสีเหลือง มีกลิ่น มีการปริบริเวณผิวหนัง หากใช้เล็บเกา เชื้อโรคจากเล็บจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้อีก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะอายไม่กล้ารักษา ปล่อยไว้จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อน มีการติดเชื้อซ้ำเติม ดังนั้นหากมีอาการแพ้ดังกล่าวควรหยุดใช้และให้ไปพบแพทย์ทันที

สำหรับสตรีท่านใดที่มีความกังวลเรื่องกลิ่น แนะนำให้ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอนามัย เช่นเมื่อเข้าห้องน้ำควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำ และซับให้แห้ง โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เปลี่ยนผ้าอนามัย 2-3 แผ่นต่อวัน เลือกชุดชั้นในที่มีการระบายอากาศ ไม่รัดเกินไป ลดความอับชื้น รวมทั้งควรงดอาหารประเภทหมักดอง เพียงแค่นี้ก็สามารถลดปัญหาเรื่องกลิ่นลงได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี