ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คอบช.พร้อมภาคี 158 องค์กร เข้ายื่นหนังสือต่อ รมว.สาธารณสุข และ อย.ให้ปรับปรุงมาตรการฉลากอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารทุกรายการที่มีจีเอ็มโอ เพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 58 ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง ประธานเครือข่ายนักวิชาการคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) ร่วมกับ เครือข่ายประชาชน และองค์กรผู้บริโภคจำนวน 158 องค์กร ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้มีการยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคเรื่องอาหารจีเอ็มโอ โดยมี นพ.กิติศักดิ์ กลับดี เลขานุการ รมว.สาธารณสุข และ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการ อย.มารับหนังสือ

ดร.ไพบูลย์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่คุ้มครองสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคด้านความปลอดภัย (Right to Safety) และสิทธิในการเลือกซื้อ (Right to Choose) ของอาหารที่ได้จากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรมหรือพันธุวิศวกรรม (อาหารจีเอ็มโอ) ที่เพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันอาหารจีเอ็มโอ มีมากกว่าถั่วเหลืองและข้าวโพด อาทิ มะละกอ แป้งสาลี มันฝรั่ง แครอท มะเขือเทศ แซลมอน ฯลฯ ที่เป็นอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร มากกว่าการครอบคลุมของประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 251) พ.ศ. 2545 เรื่องการแสดงฉลากอาหารจีเอ็มโอ ที่ควบคุมเฉพาะถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์จากข้าวโพด เท่านั้น 

ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะ อย. ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคและความปลอดภัยของอาหารโดยไม่ต้องรอกฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพ เพราะกฎหมายดังกล่าวไม่ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์อาหารจีเอ็มที่ผ่านการแปรรูป

"อาหารจีเอ็มโอของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นแบบที่ประเทศไทยใช้เป็นแนวทางในการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 251 เมื่อปี 2545 นั้น ได้มีการพัฒนาไปมาก กำหนดขอบข่ายอาหารหรือวัตถุเจือปนอาหารที่ผลิตมาจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ได้แก่ เมล็ดพืชดัดแปรพันธุกรรม อาหาร ผลิตภัณฑ์อาหาร หรือวัตถุเจือปนอาหารที่ผลิตมาจากจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค ที่ดัดแปรพันธุกรรมต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยที่กำหนด โดยเฉพาะความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์ และมีการแสดงฉลากพืชจีเอ็มโอหากแตกต่างจากพืชธรรมชาติ และอาหารดัดแปรพันธุกรรมที่ผ่านการแปรรูป ที่จำหน่ายในท้องตลาด มีมาตรการการตรวจติดตามอาหารจีเอ็มโอ เพื่อป้องกันการกระจายของอาหารจีเอ็มโอ ที่ไม่ได้รับการประเมินความปลอดภัย และการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อรับประกันความปลอดภัย หลังออกสู่ตลาด" ประธานเครือข่ายนักวิชาการคุ้มครองผู้บริโภค คอบช. กล่าว

ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ย้ำจุดยืนองค์กรผู้บริโภคว่า องค์กรผู้บริโภคไม่สนับสนุนพืชจีเอ็มโอเพื่อการค้าและการปลูกพืชจีเอ็มโอในไร่นา และให้มีมาตรการแสดงฉลากที่มีจีเอ็มโอและไม่มีจีเอ็มโอ เพื่อสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า

"มาตรการฉลากนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะว่าฉลากจะทำให้ผู้บริโภคเลือกได้ว่าเราควรจะซื้อหรือไม่ซื้อพืชจีเอ็มโอ แต่ถ้าเราทำให้เกิดการปลูกพืชจีเอ็มโอจะทำให้พืชจีเอ็มโอไปปนเปื้อนกับพืชท้องถิ่นทำให้ทางเลือกที่เรามีหายไปแน่นอน เราย้ำจุดยืนขององค์กรผู้บริโภค เราไม่สนับสนุให้ปลูกพืชจีเอ็มโอเพื่อการค้า และไม่สนับสนุนประเทศเดินไปสู่ทิศทางของการปลูกพืชจีเอ็มโอเพื่อเศรษฐกิจ แต่ว่าเราไม่ได้ขัดขวางการทดลอง ยังทดลองได้ในห้องทดลองในระบบปิด ไม่สนับสนุนให้ปลูกในไร่นา เพราะว่าสุดท้ายแล้วขณะนี้ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าปลอดภัยหรืไม่ปลอดภัย ฉะนั้นผู้บริโภคเองต้องยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน" เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว 

นางสาวมลฤดี โพธิ์อินทร์ นักวิชาการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ยิ่งไปกว่านั้น จากการทำข้อมูลและสำรวจปัญหาฉลากอาหารที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม พบปัญหาสำคัญของผู้บริโภค คือ การมองไม่เห็นฉลากที่ระบุว่า อาหารนั้นมีส่วนประกอบจากการดัดแปรพันธุกรรม ฉลากมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้ไม่สามารถคุ้มครองสิทธิพื้นฐานในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้ และอาหารจำนวนมาก หลายรายการ ที่มีส่วนประกอบสำคัญเป็นถั่วเหลืองและข้าวโพดก็ไม่มีการระบุข้อมูล ว่ามีจีเอ็มโอหรือไม่ พบว่า มีบริษัทที่ใช้แป้งมันสำปะหลังจีเอ็มโอได้ระบุในฉลากว่า แป้งมันสำปะหลังดัดแปรพันธุกรรม

ทั้งนี้ข้อเสนอเพื่อเป็นการยกระดับและส่งเสริมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็น 1 ใน 10 เป้าหมายนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2559 จึงเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการดังนี้

1.ปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 215 พ.ศ. 2545 เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค โดย

1.1 กำหนดให้อาหาร ผลิตภัณฑ์อาหาร หรือวัตถุเจือปนอาหาร ที่ผลิตมาจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ได้แก่ เมล็ดพืชดัดแปรพันธุกรรม อาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร หรือวัตถุเจือปนอาหาร ที่ผลิตมาจากจุลินทรียที่ไม่ทำให้เกิดโรคที่ดัดแปรพันธุกรรม ต้องผ่านประเมิน ความปลอดภัยที่กำหนด ทั้งนี้ การประเมินความเสี่ยง ต้องกำหนดอย่างละเอียด ในประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับปรับปรุงใหม่

1.2 กำหนดให้อาหาร และผลิตภัณฑ์อาหารทุกชนิดและวัตถุดิบที่ได้จากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรม เป็นอาหารที่ต้องมีฉลากที่ชัดเจน โดยต้องมีการแสดงฉลากว่า มาจากเทคโนโลยีจีเอ็มโอในทุกกรณีที่ตรวจพบ แทนของเดิมที่ระบุให้อาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร หรือโปรตีนที่เป็นผลจากการดัดแปรพันธุกรรม ตั้งแต่ร้อยละ 5 ของแต่ละส่วนประกอบที่เป็นส่วนประกอบหลัก 3 อันดับแรก และแต่ละส่วนประกอบดังกล่าวนั้นมีปริมาณตั้งแต่ร้อยละ 5 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์

1.3 ให้ฉลากมีสัญลักษณ์จีเอ็มโอในรูปสามเหลี่ยมที่ชัดเจนและเห็นได้ชัด ดังที่มีการดำเนินการในประเทศบราซิล

1.4  อนุญาต ให้ใช้ข้อความ‘ปลอดอาหารดัดแปรพันธุกรรม’หรือ‘ไม่ใช่อาหารดัดแปรพันธุกรรม’หรือ‘ไม่มีส่วนประกอบของอาหารดัดแปรพันธุกรรม’หรือข้อความ อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ซึ่งต้องมีหลักฐานการตรวจรับรองจากหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยรับรองที่รัฐให้การรับรอง

2.กำหนดให้มีกระบวนการตรวจสอบหลังการอนุญาตจำหน่าย (Post-Marketing) ทั้งอาหารจีเอ็มโอและอาหารที่ระบุว่า อาหารปลอดการดัดแปรพันธุกรรม (non-GM)

3.เร่งรัดพัฒนาระบบการรายงานความไม่ปลอดภัยด้านอาหาร (Food Alert System for Thai Consumers) และใช้ฐานข้อมูลร่วมกันของหน่วยงานรัฐและองค์กรผู้บริโภค พร้อมให้มีการเปิดเผยข้อมูลการทดสอบความไม่ปลอดภัยด้านอาหาร แก่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง

4.ข้อเสนอต่อกฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพ หากมีการดำเนินการในอนาคต ขอให้ยึดหลักการคุ้มครองสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการดำเนินการ ขอเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขต้องมีบทบาทสำคัญเป็นหน่วยงานในการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ และยึดหลักป้องกันไว้ก่อน โดยในกฎหมายนี้จำเป็นต้องมีมาตรการชดเชยเมื่อได้รับผลกระทบจากพืชจีเอ็มทั้งหมด

ขอบคุณข่าวและภาพจาก www.indyconsumer.org

เรื่องที่เกี่ยวข้อง